จากกรณีที่เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 64 ร.ต.อ.ขวินวิชญ์ วิชญาฐิติพัทธ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.แม่ระมาด จังหวัดตาก ได้รับแจ้งพบศพหญิงสาวถูกฝังดินบริเวณทุ่งนาป่ารกทึบ ใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมา ภายในหมู่บ้านขะเนจื้อ หมู่ 13 ตำบลขะเนจื้อ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบในพื้นที่เกิดเหตุ ทราบภายหลังว่าผู้เสียชีวิตคือ นางมึ อายุ 45 ปี แรงงานสัญชาติเมียนมา ส่วนผู้ก่อเหตุคือ นายสีลา อินต๊ะยศ อายุ 77 ปี นายจ้างของผู้เสียชีวิต ตำรวจได้เข้าจับกุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันที่ 18 เม.ย. 64 ทีมข่าวเดินทางไปยังจุดที่เกิดเหตุ หมู่บ้านขะเนจื้อ หมู่ 13 ตำบลขะเนจื้อ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ห่างจากถนนใหญ่ 1.3 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะเป็นถนนลูกรัง 2 ข้างทางเต็มไปด้วยสวนกล้วย นาซังข้าว และสวนข้าวโพด ทั้งนี้จุดที่เกิดเหตุจะพบห้างนา ซึ่งปลูกสร้างด้วยไม้และสังกะสี จำนวน 3 หลังติดกัน
โดยพื้นที่ห้างนาคือบริเวณที่มีการกินเลี้ยงสงกรานต์กัน จุดที่ผู้ก่อเหตุการใช้ท่อนไม้ตีผู้เสียชีวิต พบขวดเครื่องดื่มชูกำลัง และมีกองฟืนและไม้ที่เตรียมทำเป็นฟืนในการก่อไฟจำนวนหนึ่ง
ส่วนบริเวณจุดที่ 2 ที่ผู้ก่อเหตุได้ทำการฝังศพ ห่างจากจุดเเรก ไปประมาณ 600 เมตร ไปทางติดตะวันตกจากห้างนา โดยจะเป็นการเดินผ่านลัดเลาะทุ่งนาข้าวโพด ก่อนที่จะถึงจุดจะมีร่องน้ำความกว้างประมาณ 1 เมตร กต้องลุยเข้าป่ารกและพบจุดฝังศพ โดยเป็นเนินดินที่เต็มไปด้วยหญ้ารก สภาพหลุมศพล่าสุดพบว่าเหลือเพียงคราบรอยเลือด มีแมลงวันตอมอยู่ กลิ่นเน่าค่อนข้างแรง
ที่สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาด จังหวัดตาก พ.ต.อ.ศิริพงศ์ ศรีทันฐ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮองสอน ปฎิบัติราชการตำรวจภูธรจังหวัดตาก กล่าวว่า เบื้องต้นทางผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ฆ่านางมึ ผู้เสียชีวิต ให้เหตุผลว่าช่วงวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา เจ้าตัวและลูกจ้างเมียนมาได้มีการจัดกินเลี้ยงกันในช่วงเที่ยง บริเวณในพื้นที่ไร่ โดยมีลูกจ้างเป็นชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในไร่ด้วยกันประมาณ 4-5 คน บรรยากาศก็เป็นไปอย่างสงบ
ต่อมาทางผู้เสียชีวิตก็ได้มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับสามี ผู้ก่อเหตุก็ได้เข้าไปห้ามปราม แต่กลับถูกนางมึต่อว่าและกัดที่เข้าบริเวณแขนข้างซ้ายจนหนังถลอก ทำให้ทางผู้ก่อเหตุรู้สึกโมโห พร้อมทั้งลากนางมึออกมาบริเวณลานกว้างข้าง ๆ ได้ไปหยิบท่อนไม้ที่วางอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ยาวประมาณ 1 เมตร ตีไปที่บริเวณต้นคอและศีรษะของนางมึ 2 ครั้ง จนนางมึนิ่งไป และทราบต่อมาว่านางมึ เสียชีวิตแล้ว
ทั้งนี้ ด้วยความที่กลัวความผิดจึงได้ไปตามพรรคพวก ประกอบด้วยนายโจ, นายดิ กับนายจะเค ลูกน้องแรงงานเมียนมา ให้ช่วยกันยกศพของนางมึลากไปฝังที่บริเวณท้ายไร่ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 150 เมตร เพื่อปกปิดซ่อนเร้น ในส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้ง 3 คนที่มีการกล่าวอ้างนั้น เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ทำการปล่อยตัวไปก่อนเบื้องต้น ขณะที่สามีของผู้เสียชีวิต ตอนนี้ก็ได้หายไปจากพื้นที่แล้ว คาดว่าน่าจะกลับไปที่ประเทศเมียนมาแล้ว
ส่วนผู้ต้องหา พรุ่งนี้เวลา 9.00 น. จะมีการนำตัวไปฝากขัง เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี รวมถึงข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นศพตาม ป.อ. มาตรา 199 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในส่วนของข้อหา มีอาวุธปืนไว้ครอบครองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท
จากการเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้พบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ทำให้โดนอีกหนึ่งข้อหา ส่วนรายละเอียดว่าทางผู้ก่อเหตุได้ใช้ปืนกระบอกดังกล่าวบังคับเเรงงานในการช่วยฝังศพหรือไม่นั้น เป็นข้อมูลในขั้นตอนการสอบสวน
สำหรับสภาพจิตใจและร่างกายของผู้ก่อเหตุที่อยู่ในห้องขัง มีอาการปกติ ไม่พบว่ามีอาการเครียดหรือเศร้า ตลอดจนยังมีญาติได้เดินทางมาเยี่ยมอยู่ตลอด ขณะที่ทางญาติเองก็ไม่ได้มีการยื่นเอกสารหรือเงินขอประกันตัว เนื่องจากทราบมาว่าทางญาติเองยังไม่สามารถหาเงินมาทันในช่วงนี้ ขณะที่ศพของผู้เสียชีวิตเองก็อยู่ในโรงพยาบาลเพื่อทำการชันสูตรศพหาข้อมูลต่อไป
นายเสรี อินต๊ะยศ ลูกชายของผู้ก่อเหตุ อายุ 52 ปี เล่าว่า ส่วนตัวอยู่บ้านหลังดังกล่าวกับพี่สาวคือ น.ส.จิตนา อินต๊ะยศ อายุ 54 ปี และพ่อ ส่วนแม่ได้เสียชีวิตไปนานแล้วกว่า 8 ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนตัวไม่ทราบมาก่อน ที่ผ่านมาเวลาเจอหน้าพ่อก็ดูท่านเฉย ๆ ปกติ ไม่ได้มีพิรุธแต่อย่างใด พ่อเองจะไม่ค่อยกลับบ้าน เนื่องจากท่านจะอยู่แต่ในห้างนา ทำไร่ ไม่ค่อยกลับมานอนบ้าน วันเกิดเหตุตนเองยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรือมีส่วนร่วมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เนื่องจากด้วยสภาพร่างกายที่ขายังต้องดามเหล็ก หลังจากประสบอุบัติเหตุ ส่วนตัวขอยืนยันว่าไม่ใช่เป็นคนที่ร่วมกันปกปิดอำพรางศพ ตามที่มีกระแสข่าวว่าเป็น 1 ใน 4 คนที่ร่วมขุดหลุมศพ
ทั้งนี้ ส่วนนิสัยของพ่อจะค่อนข้างเป็นคนเสียงดังและหูไม่ค่อยได้ดี พ่อไม่ได้เป็นคนจิตใจโหดร้าย เพราะทำแต่งาน เรื่องราวคดีความหลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคดี ส่วนตัวและพี่สาวก็ไม่มีเงินเพียงพอในการต่อสู้คดี ทุกวันนี้ยังต้องพึ่งพาเงิน 300 บาทจากรัฐบาล