กรณีพบผู้เสียหายในพื้นที่ จ.นครพนม ร่วมทำบุญกับสำนักปฎิบัติธรรม ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม ออกอุบายว่าเป็นพระธรรมิกราชในร่างของภิกษุณี ขอให้ทุกคนช่วยกันทำบุญผ้าป่าเริ่มต้น กองละ 3,555 บาท ได้รับค่าตอบแทนเป็นทองคำ 1 สลึง หรือ 6,000 บาท มีกลุ่มลูกศิษย์หลงเชื่อนำเงินมาถวายจำนวนมาก สุดท้ายไม่ได้ทองคำและเงินสด กระทั่งล่าสุด แม่ชีและผู้เกี่ยวข้องถูกจับ 6 รายแล้วนั้น
วันที่ 29 เม.ย. 64 ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่บ้านของครูยุ พบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ด้านล่างมีรถจอดอยู่หลายคัน เจ้าตัวไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้าน เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมตัวไปดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน เป็นคนที่ 5 ตอนนี้ถูกฝากขังอยู่ที่เรือนจำ มีญาติบางส่วนเดินทางไปเพื่อขอประกันตัว แต่ยังไม่ได้รับการประกันตัว ทีมข่าวได้สอบถามคนที่อยู่ในบ้าน โดยมีผู้ชายคนหนึ่งออกมาให้ข้อมูลว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นแต่อย่างใด
แม่ครูยุ เปิดเผยว่า ตนเองอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง ทราบข่าวว่าลูก 2 คนโดนจับ ตนเองก็ตกใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ส่วนที่ผ่านมา ลูกก็ไม่เคยเอาเงินมาให้ใช้จ่าย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปก่อเหตุอะไรไว้ ทุกวันนี้ใช้เงินผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท
นายเมา (นามสมมติ) อายุ 63 ปี ในฐานะลุงของครูยุและนางเพลิน เป็นผู้เสียหายที่ถูกหลอก เปิดเผยว่า ตนเองในฐานะคนในครอบครัว ก็รู้สึกเสียใจที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าทั้งคู่ไปเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักปฎิบัติธรรมดังกล่าว เพราะตนเองก็ไม่เคยไป อีกทั้งตนเองก็ไม่ใช่คนที่ฉลาดมากไปกว่าชาวบ้านคนอื่น เพราะก็ยังถูกหลานสาวแท้ ๆ หลอกให้ลงทุนในกองทุนผ้าป่า ที่หวังจะได้สร้อยคอทองคำ และรวมถึงได้รับเงินปันผล แต่หลานสาวก็เคยเล่าให้ฟังตลอดว่ามีพระอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ได้นำเงินเพื่อมาโปรดหรือช่วยเหลือชาวบ้าน ตนเองก็เลยหลงเชื่อเกือบที่จะนำรถมอเตอร์ไซต์ไปเข้าไฟแนนซ์ เพื่อจะเอาเงินจำนวน 18,000 บาทมาลงทุนเพิ่มในกองทุน
ในช่วงแรกที่เริ่มลงทุน ได้ทำบุญไป 2 กอง กองละ 3,555 บาท ได้ทองมา 2 เส้น นำไปขายได้เงิน 12,000 บาท หักเอาไว้ 3,000 บาท นำไปลงทุนกองเงิน 9,000 บาท เพราะหวังจะได้เงิน 18,000 บาท สุดท้ายก็ถูกผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ได้รับเงิน ตนเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าหลานจะมาทำแบบนี้กับลุงแท้ ๆ ทำให้ความเป็นเครือญาติแตกหักกันไป ทุกวันนี้มองหน้ากันไม่ติด และแทบจะไม่เรียกว่าเป็นญาติกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตนเองไม่รู้ว่าคดีนี้จะจบลงอย่างไร เพราะมีผู้เสียหายจำนวนมาก ส่วนเงินในบัญชีกองทุนเหลือเพียงแค่ 8 บาท ซึ่งไม่รู้ว่าเงินทั้งหมดที่มีการร่วมทำบุญหายไปไหน แต่หากเป็นไปได้ก็อยากได้เงินคืน เพราะเงินที่นำไปลงทุนก็เป็นเงินที่จะต้องใช้สำหรับเพาะปลูกข้าวในฤดูกาลปีนี้ แต่โดนโกงเงินไปก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะเพาะปลูกข้าวอย่างไร หรือไปหาเงินที่ไหนมาใช้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- สุดอึ้ง! โลกอีกใบศิษย์ "แม่ชีเอ้" สวมวิกแบ๊วจีบทอม เหยื่อผวาถูกลวงระดมบุญเก๊
- อึ้ง! ชีอรหันต์โกงบุญ 10 ล้านเหลือ 8 บาท เหยื่อรับถูกขู่สูญหมดตัวเพราะโลภ
- ถอดโหงวเฮ้งก๊วนชีลวงโลก เจ้าสำนักแสบฉลาดแต่โกง ชีแปลงโฉมเด่นวาทศิลป์
พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม ให้ข้อมูลว่า ในวันที่ 26 เม.ย. 64 ที่มีการควบคุมตัวแม่ชีภายในสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีการ์ตูน แม่ชีทองพูนไปสอบปากคำ ชุดสืบสวนได้ขอหมายจับทำการตรวจค้นบางส่วนในสำนักปฏิบัติ ได้มีการตรวจยึดตู้เซฟ 3 ใบไปทำการตรวจสอบ พบว่ามีโฉนดที่ดิน 3 ใบ, เงินสดจำนวน 40,000 บาท, และสมุดบัญชีอีกส่วนหนึ่ง ตอนนี้เตรียมที่จะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม 3 ราย
ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่เขตรับผิดชอบของ สภ.ปลาปาก มีจำนวนผู้เสียหาย 45 คน ที่เดินทางเข้าแจ้งความแล้ว มีมูลค่าความเสียหาย 2 ล้านบาท และยังพบว่ามีชาวบ้านทยอยเดินทางมาแจ้งความเพิ่มเติมต่อเนื่อง ข้อมูล สภ.เมือง นครพนม ผู้เสียหาย 490 คน พื้นที่ 4 สภ. (สภ.เมืองนครพนม, สภ.ปลาปาก, สภ.กุดตาไก้, สภ.ท่าอุเทน) ยอดเสียหาย 25 ล้านบาท
นางสดศรี อายุ 60 ปี ชาวบ้านที่มีบ้านติดกับสำนักปฏิบัติธรรม บอกว่า เห็นแม่ชีการ์ตูน แม้จะสวมวิกอย่างไรก็จำได้ เพราะมาซื้อน้ำดื่มกับตนเป็นประจำ ส่วนเรื่องภายในสำนักตัวเองไม่รู้ เพราะไม่เคยไปทำบุญ อีกอย่างคนในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีใครเข้ามาทำบุญกัน พวกที่ถูกหลอกจึงเป็นบุคคลจากที่อื่นทั้งนั้น
ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้าน ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม ปลูกอยู่กลางชุมชน เดิมเปิดเป็นร้านขายของชำและอาหารตามสั่ง จากคำบอกเล่าของชาวบ้านเผยว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของนายจำนงค์ อดีตข้าราชการ เป็นพ่อของนางสาวอิสรีย์ ทราบภายหลังว่าเป็นพี่สาวคนโตของนางสาวอิสรีย์ โดยที่น้องสาวนำบ้านไปจำนองกับนายทุนจนเกิดเรื่องฟ้องร้องกันในศาล และคดีอยู่ระหว่างชั้นฎีกา
สืบเนื่องจากหลังนายจำนงค์เสียชีวิตลง นางสาวอิสรีย์ ลูกสาวคนเล็ก ในขณะนั้นยังสวมใส่ชุดปกติได้แอบไปขอให้แม่มอบอำนาจในการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้เป็นแม่ยินยอมมอบอำนาจให้ไปดำเนินการทางนิติกรรมต่าง ๆ ปรากฏว่านางสาวอิสรีย์นำโฉนดที่บ้านหลังนี้ไปขายฝากกับนายทุนในวงเงิน 5 ล้านบาท โดยไม่มีญาติพี่น้องล่วงรู้มาก่อน
ต่อมานายทุนมาตามถึงบ้านว่านางสาวอิสรีย์เอาที่บ้านไปจำนองขายฝาก แต่นายทุนยังเปิดโอกาสให้หาเงินต้นมาชำระ เวลาผ่านมากว่า 3 ปี ก็ไม่มีใครหาเงินไปไถ่ถอนได้ นายทุนจำเป็นต้องฟ้องศาล และปัจจุบันดำเนินการมาจนถึงศาลชั้นฎีกา ทางญาติพี่น้องยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้บ้านที่เคยอยู่ถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่น