จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "เจ๊ม้อย vplus" โพสต์ภาพพร้อมบรรยายข้อความระบุว่า ภรรยา"ผู้สูญหาย"ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งสามีไปดื่มเหล้าที่บ้านหลังนั้น จึงไปตามถึงบ้าน แต่เจ้าของบ้านในขณะนั้นยังไม่ยอมออกมา สุดท้ายเจ้าของบ้านบอกว่าไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นตัวเองหลับอยู่ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้าตามทาง แต่ไม่พบตัวสามี ตอนนี้ก็ยังไม่เจอว่าเป็นยังไง ถึงจะไม่มีชีวิตอยู่ อย่างน้อยขอเจอตัวเพื่อทำพิธีก็ยังดี จากการตรวจสอบ ผู้สูญหายสวมสร้อยคอทองคำและเลสข้อมือ 10 บาทด้วยนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หนุ่มหายปริศนารอยเลือดโผล่เป็นทาง เมียหวั่นถูกอุ้มฆ่า คาใจเพื่อนวงเหล้ามีแผล
วันที่ 4 พ.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ หมู่ 5 ต.ตะกรบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี นายบำรุง ดีมีสี อายุ 66 ปี เจ้าของบ้านจุดเกิดเหตุ เปิดเผยว่า ตนเป็นเจ้าของบ้านหลังจุดเกิดเหตุ และรู้จักกับนายโกสน นายตั้ม และนายนัดจริง เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่ที่เคยคุ้นหน้าคุณตากัน แต่ตนยืนยันว่าตนไม่รู้เรื่องกรณีที่เกิดขึ้น และไม่ได้ร่วมวงดื่มกินกับกลุ่มคนดังกล่าว เนื่องจากตน ภรรยา กินยาโรคประจำตัวและนอนหลับตั้งแต่ 21.00 น. อยู่ภายในบ้าน อีกทั้งช่วงหัวค่ำก็ไม่เห็นมีใครมานั่งกินอยู่ที่หน้าบ้าน จึงไม่ทราบรายละเอียด ยืนยันว่าไม่ได้ยินเสียงปืน
กระทั่งตนตื่นมา จึงมาพบว่าบริเวณจุดเกิดเหตุมีร่องรอยเลือด และข้าวของกระจัดกระจายอยู่ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางเข้ามาสอบถามข้อมูล โดยที่ตนไม่ได้มีการเช็ดเลือด หรือทำลายหลักฐาน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนก็รู้สึกเสียใจ ทำให้ชาวบ้านรวมไปถึงครอบครัวของนายโกสน มองตนไปในด้านลบหรือมีความสงสัยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะตนเป็นเจ้าของบ้าน แต่ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ เพราะหลังจากเกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการเชิญตัวตนไปสอบสวนที่โรงพักแล้วเมื่อวานนี้ และเพิ่งถูกปล่อยตัวมาเมื่อช่วงเวลา 00.00 น. ทั้งนี้ อยากขอให้ทางภรรยาของนายโกสนหาร่างของนายโกสนให้เจอโดยเร็ว
ขณะที่ทีมข่าวเห็นความผิดปกติของภรรยานายบำรุง เนื่องจากบริเวณนิ้วมีบาดแผล นางปราณี บัวเจริญ อายุ 59 ปี ภรรยานายบำรุง กล่าว่า กรณีบาดแผลของตนนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีของนายโกสนที่ถูกยิงแล้วหายตัวไป แต่บาดแผลที่ตนได้มาเกิดจากวันที่ 1 เม.ย. ตนได้ไปนั่งบ้านเพื่อนบ้าน
แล้วเกิดเหตุการณ์ พ่อลูกเจ้าของบ้านยิงกัน ทำให้ตนถูกลูกหลงจากกระสุนปืนยิงเข้าที่บริเวณนิ้วนางและนิ้วก้อย มือด้านขวาจนขาด ขณะนี้ยังคงต้องพักรักษาอาการอยู่ ซึ่งตนยืนยันได้ว่าตนและสามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีของนายโกสนแน่นอน
นางจินดาหรา วสินทรัพย์ อายุ 37 ปี ภรรยาของผู้สูญหาย เผยว่า ความคืบหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้ ทางครอบครัวยังไม่ได้เบาะแส แต่เชื่อว่าทางเจ้าที่ตำรวจยังคงช่วยดำเนินการติดตามคดีอยู่ งครอบครัวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทำการออกค้นหาร่างของสามี พร้อมกับลูกน้องกว่า 20 คน ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงช่วงเย็นเมื่อวานนี้ โดยในวันนี้เวลา 12.00 น. ก็อกค้นหาสามีอีกครั้ง ตามความเชื่อที่สอบถามหมอดูที่นับถือ ทราบว่าขณะนี้สามีของตนยังไม่เสียชีวิต แต่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงสาหัส ต้องรีบหาตัวให้พบ ภายใน 2 วัน ไม่งั้นจะถึงขั้นเสียชีวิต
ซึ่งเมื่อวานนี้ตนและลูกน้องได้ออกค้นหาในบริเวณพื้นที่ใกล้หมู่บ้านรวม ถึงถนนที่พบรอยเลือดของสามี ตั้งแต่บ้านไปถึงจุดที่คาดว่า ผู้ก่อเหตุขับกระบะมาชนเสาไฟฟ้าขณะหลบหนี รวมไปถึงเส้นทางเลยไปอีกจนถึงริมทะเล รวมระยะทางหลาย 10 กิโลเมตร แต่ก็ยังไม่พบ วันนี้จึงจะเปลี่ยนเป็นการค้นหาทางทะเล นั่งเรื่อออกค้นหาบ้าง
อย่างไรก็ตาม ตนก็ยังมีความคาดหวังที่จะเจอร่างของสามี หากเสียชีวิตจริง จะได้นำมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้ถูกต้อง ส่วนเรื่องคดีความก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากตอนนี้ตนก็จนปัญญา เพราะจากการสอบถามบุคคลที่ตนสงสัยและอยู่ในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นนายบำรุง นายตั้ม หรือ นายนัดเอง ก็ต่างไม่ให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและคนในครอบครัวเลย
เวลา 12.00 น. ทีมข่าวและทางภรรยาของผู้สูญหายได้เดินทางมาที่บริเวณท่าเรือท่ากระจ่าย เพื่อออกทำการค้นหาผู้สูญหายทางทะเล นางจินดารา ระบุว่า วันนี้จะร่วมค้นหากับลูกน้องกว่า 20 คน ออกเรือห่างยาวจำนวน 3 ลำ
โดยออกค้นหาบริเวณโดยรอบริมหาด เริ่มล่องเรือจากริมฝั่งท่ากระจาย ต.ท่าชนะ ไปจนถึงริมชายหาดพรหมเลียง ซึ่งหากในวันนี้ยังไม่มีวีแวว ในวันพรุ่งนี้ก็จะเริ่มออกค้นหาใหม่ แต่เปลี่ยนเส้นทางออกไปทาง ฝั่งท่าละแม ต.หลังสวน เขตพื้นที่ทะเลติดชุมพร แต่ว่าก็ต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้งในภายหลัง
จากนั้น ทีมข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของนายตั้ม หนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมกับนางจินดารา ภรรยาผู้สูญหาย ภายใน ต.ตะกรบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี นางจินดาราลงจากรถ แม่ของนายตั้มได้เดินเข้ามาโอบกอดพร้อมร้องไห้ แสดงความเสียใจกับการหายไปของนายโกสน
อีกทั้งทางครอบครัวของนายตั้ม และนายนัด ได้เดินทางกันมาอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว เพื่อปรึกษาหารือกันถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดยเจ้าตัวทั้ง 2 คนไม่ขอให้สัมภาษณ์ เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตราย
นางน้อย (นามสมมติ) อายุ 53 ปี แม่นายตั้ม เผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนยืนยันว่าลูกชายของตนเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายโกสนในครั้งนี้ เนื่องจากทั้งคู่ก็รู้จักและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เสมือนเป็นญาติกัน ตนจึงไม่คิดว่าลูกชายของตนจะเป็นผู้ก่อเหตุ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนจึงมีความกังวลในเรื่องของความปลอดภัยของลูกชาย เพราะหลังจากเกิดเหตุหากลูกชายให้ข้อมูลกับใครไปอาจจะทำให้บุคคลที่ก่อเหตุไม่พอใจ บุกมาทำร้ายลูกชายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
นายเอส (นามสมมติ) อายุ 20 ปี ญาตินายตั้ม เผยว่า ตนเป็นญาติของนายตั้ม ทำงานอยู่เรือประมงเดียวกัน มั่นใจว่านายตั้มน่าจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากนายตั้มและนายโกสนก็รู้จักกันมานานแ ละสนิทสนมกันเสมือนญาติ จึงคิดว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือก่อเหตุ แต่ส่วนตัวตนมีความสงสัยในตัวของกลุ่มผู้มีอิทธิพล และคาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่า
เนื่องจากตนมีประสบการณ์ เคยมีปัญหาผิดใจกับคนในเรือของกลุ่มคนดังกล่าว ปมเหตุเกี่ยวกับเรื่องการประมง ในตอนนั้นพวกของบุคคลกลุ่มนั้นก็เคยพูดขู่ว่า "หากมีปัญหามากจะยิงทิ้ง" ตนจึงไม่แน่ใจว่าการหายตัวไปของนายโกสน อาจไปมีปัญหาผิดใจกับบุคคลกลุ่มนี้หรือไม่ ส่วนนี้ตนก็ไม่แน่ชัด เป็นเพียงการสันนิษฐาน อยากจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามกลุ่มผู้ก่อเหตุมาสอบสวนให้ได้โดยเร็ว
หลังจากนั้น ทีมข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของนายนัด หนึ่งในผู้ต้องสงสัย ภายในพิ้นที่ ต.ตะกรบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี นางใหญ่ (นามสมมติ) อายุ 55 ปี แม่ของนายนัด เผยว่า ส่วนตัวหลังจากตนทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ลูกชายตกเป็นผู้ต้องสงสัยกรณีการหายตัวไปของนายโกสน ตนก็รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เนื่องจากลูกชายของตนเท่าที่เห็นเป็นคนดี ไม่เคยมีปัญหากับใคร อีกทั้งตนก็ไม่เคยรู้จักนายโกสนเป็นการส่วนตัว และก็ไม่เคยเห็นหน้า รู้จักเพียงแค่ชื่อจากที่ลูกเคยพูดให้ฟังเท่านั้นว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักกัน อีกทั้งลูกชายของตนก็ไม่ค่อยแข็งแรง มีโรคประจำตัวชักเกรง เนื่องจาก 4-5 ปีก่อนเคยประสบอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ล้มหัวฟาดพื้น ต้องทำการผ่าตัดสมอง จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ลูกชายจะไปก่อเหตุดังกล่าว ส่วนด้านคดีความก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของตำรวจ
ขณะที่ทีมข่าวผ่านบริเวณเส้นทางถนนหน้าวัดตะกรบ จุดที่คาดว่าผู้ก่อเหตุขับรถมาเสียหลัก นางแผ้ว (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ เผยว่า ช่วงวันเดียวกับที่รถกระบะคันก่อเหตุได้มีการขับรถผ่านมาบริเวณหน้าวัด และเสียหลักพุ่งชนกับต้นไม้และเสาไฟฟ้า เสียงดังสนั่นก่อนไฟฟ้าดับ ตนรวมไปถึงพระที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ก็ได้ยินเสียงกันหมด แต่ไม่มีใครกล้าออกมาดู เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตราย และคิดว่าอาจเป็นหม้อแปลงระเบิด กระทั่งมาทราบข่าวในตอนเช้าของอีกวันว่ามีรถกระบะของผู้ก่อเหตุขับหลบหนีมาเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าบริเวณหน้าวัดดังกล่าว ตนก็รู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่ทราบละเอียดอะไรที่แน่ชัด