จากกรณีที่
น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช หรือ หญิง อายุ 19 ปี เสียชีวิตปริศนาหลังจากไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งใน อ.บางปะอิน จ.อยุธยา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 61 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางปะอิน ได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องสงสัย คือ
นายสุรพล ดาราคำ หรือ อ๊อฟ อายุ 23 ปี คนขับรถเทรลเลอร์ ในความผิดฐาน “หน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย” ซึ่งขณะที่ถูกฝากขังที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น
วันที่ 1 ส.ค. 61 “รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.20 น. ได้เชิญ
นายสุบิน ยาวิราช พ่อของน้องหญิง, น.ส.ภาณิศา ยาวิราช อาของน้องหญิง, นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม, น.ส.รุ้ง เพื่อนผู้เสียชีวิต, พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมพูดคุยในรายการ
นายสุบิน ยาวิราช พ่อของน้องหญิง เปิดเผยว่า สำหรับเรื่องคดีตอนนี้ตนสบายใจขึ้น เพราะคดีมีความคืบหน้าและมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ เข้ามาช่วยเหลือ ในวันเกิดเหตุเมื่อทราบว่าลูกสาวเสียชีวิต จึงเดินทางไปที่สภ.บางปะอิน เพื่อลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูกสาวตามปกติ โดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร จนมาทราบเรื่องคลิปเสียง ที่ลูกสาวขอความช่วยเหลือ จึงได้แจ้งความดำเนินคดีต่อ ทั้งนี้ ตนพยายามส่งหลักฐานให้ตำรวจ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งตนไปหาหลักฐาน ภาพวงจรปิด ที่ร้านเหล้าก่อนตำรวจด้วยซ้ำ แม้จะไปแจ้งกับผู้กำกับ สภ.บางปะอิน แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า
น.ส.ภาณิศา ยาวิราช อาของน้องหญิง เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุคือวันที่ 19 ก.ค. 61 ที่น้องหญิงออกไปร้านเหล้ากับ น.ส.เป็ด ตนคิดว่าน้องหญิงไม่ได้เต็มใจที่จะไป แต่คาดว่าน้องคงไม่รู้ว่าจะไปร้านเหล้า เพราะในแชทการสนทนาของน้องหญิงกับ น.ส.เป็ด มีข้อความเพียงว่าจะไปซื้ออาหารที่ร้านสะดวกซื้อ แต่สุดท้ายก็ไปที่ร้านเหล้า แต่ก่อนหน้านั้น น.ส.เจน เพื่อนของรุ้ง รุ่นพี่ของหญิง ได้ขอเบอร์หญิงเอาไว้
น.ส.รุ้ง เพื่อนผู้เสียชีวิต เล่าถึงวินาทีที่น้องหญิงได้โทรศัพท์มาหาว่า น้องหญิงรู้สึกกลัวคนชื่ออ๊อฟ เนื่องจากตอนที่อยู่ในร้านเหล้า อ๊อฟได้กระชากแขนและลวนลาม ตอนนั้นตนจึงตัดสินใจขอพูดสายกับ น.ส.เป็ด แต่น้องหญิงบอกว่า น.ส.เป็ด หลับ แต่เมื่อ น.ส.เป็ด มาคุยกลับ ก็พบว่าน้ำเสียงเป็นปกติ ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน และก็เป็นการพูดคุยตามคลิปเสียงที่แชร์ ที่ น.ส.เป็ด บอกว่าจะพาน้องหญิงกลับบ้านอย่างปลอดภัย ตนก็เชื่อใจว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะ น.ส.เป็ด อยู่กับน้องหญิงด้วย แต่เมื่อตนโทรกลับไปหาหญิงอีกรอบ น้องหญิงก็อยู่บนรถเทรลเลอร์กับนายอ๊อฟแล้ว ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายที่ขาดไปหาย เวลาประมาณ 05.38 น.
น.ส.รุ้ง เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุ ตนได้ไปหาน้องหญิงที่โรงพยาบาล นายอ๊อฟบอกตนว่า น้องหญิงกระโดดลงจากรถ และเจ้าตัวได้นำโทรศัพท์น้องหญิงมาคืน โดยอ้างว่าโทรศัพท์ตกอยู่ในป่าข้างทาง เมื่อตนถามว่าลวนลามน้องหญิงหรือไม่ นายอ๊อฟบอกว่าไม่ได้ลวนลาม ตนจึงไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะได้อัดคลิปเสียงเอาไว้แล้ว รวมทั้งนายอ๊อฟก็มีกลิ่นเหล้าแรงมาก ซึ่งตนก็สงสัยตั้งแต่แรกว่าเหตุการณ์ไม่ปกติ ตนจึงบอกให้พ่อของน้องหญิงฟังคลิปเสียง ซึ่งในวันนั้น น.ส.เป็ด ได้โทรมาบอกว่าจะหาน้องหญิงที่โรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็ไม่มา
ทั้งนี้ น.ส.รุ้ง ยังบอกอีกว่า ระยะทางจากร้านเหล้ากับห้องพักของน้องหญิงห่างกันเพียงนิดเดียว แต่เหตุเกิดขึ้นที่ถนนสายเอเชีย ซึ่งไกลกว่าห้องพัก และตนยืนยันว่า น้องหญิงกลัวนายอ๊อฟ และ น.ส.เป็ดก็รู้ว่าหญิงกลัว และรู้ว่าอ๊อฟลวนลามหญิงในร้านเหล้า ซึ่ง น.ส.เป็ด ก็ยอมรับเองในคลิปเสียง
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยว่า สัญญาณโทรศัพท์ของน้องหญิงขาดหายไป เวลาประมาณ 05.38 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สัญญาณจีพีเอสของรถเทรลเลอร์หยุดจอดประมาณ 4 นาที ตนคิดว่าเป็นเวลาที่น้องหญิงกำลังถูกทำร้าย และคาดว่าเหตุที่เกิดขึ้น เป็นเพราะ น.ส.เป็ด ใช้กลอุบายในการเปลี่ยนรถ เพื่อให้น้องหญิงไปกับนายอ๊อฟ โดยอ้างว่าตัวเองจะไปทำงานด่วนที่ จ.สระบุรี
นายอัจฉริยะ ยังบอกอีกว่า ร่างของน้องหญิงมีลักษณะแผลที่ผิดแปลก เพราะผลชันสูตร ระบุว่าถูกของแข็งไม่มีคมตี ที่ศีรษะจนกระโหลกบวม ซึ่งเห็นชัดเจนว่า ถูกตี 2 จุด แผลวงกลมไขว้กันเป็นเลข 8 แตก เป็นลักษณะใยแมงมุม ซึ่งไม่ใช่รอยแตกจากการกระโดดรถ และพ่อของน้องหญิงได้เอาผลชันสูตรไปให้ตำรวจ แต่ตำรวจกลับไม่สนใจ ซึ่งจากการตรวจเบาะรถเทรลเลอร์ถึงพื้นมีความสูงจึง 1.80 เมตร ซึ่งถ้าน้องกระโดดลงมาจะต้องมีรอยถลอกและมีรอยดิน เนื่องจากวันเกิดเหตุมีฝนตก แต่ศพกลับไม่มีรอยอะไร
ทั้งนี้ เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นแล้วเมื่อ 1 เดือนก่อน โดน น.ส.เป็ดได้มารับ น.ส.เจน ที่หอพัก และพาไปร้านเหล้า เมื่อ น.ส.เจน เมา ก็ให้นายอ๊อฟพา น.ส.เจนไปข่มขืนที่รีสอร์ท ซึ่งในกรณีของ น.ส.เจน หลังจากนายอ๊อฟข่มขืนเสร็จ ก็ขับรถเทรลเลอร์มารับ และพาตัว น.ส.เจน ไปด้วยกันถึง 2 วัน สุดท้ายจึงพามาส่ง ซึ่งหาก น.ส.เป็ด ได้รับผลประโยชน์จากการล่อลวง ก็จะถือว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์ด้วย
ด้าน
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้นายอ๊อฟถูกแจ้งข้อหาเพิ่ม คือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่วน น.ส.เป็ด และนายท็อป ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อ พิจารณาจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม และตนขอยืนยันว่าถ้ามีหลักฐานจะดำเนินคดีทั้งหมด โดยร่องรอยที่ศพยืนยันได้ว่าไม่ได้เกิดจากการตกรถ อีกทั้งมีพยานก่อนเกิดเหตุ ยืนยันว่าไปด้วยกันในสภาพเรียบร้อย และรถเทรลเลอร์มีจีพีเอสจับทิศทางการเคลื่อนรถ อีกทั้งแพทย์ยืนยันว่า ลักษณะการบาดเจ็บของน้องหญิง กระทำด้วยตัวเองไม่ได้ จึงมีแค่นายอ๊อฟเท่านั้นที่ทำให้บาดเจ็บ ซึ่งคดีนี้ ตนอยากให้จบภายในวันที่ 20 ส.ค. นี้ แต่ติดขัดเรื่องหลักฐานที่รอผลสรุปอย่างเป็นทางการจากนิติวิทยาศาสตร์
นายอัจฉริยะ บอกว่า เรื่องของหลักฐานทางคดี แม้ไม่เจอค้อนที่เป็นหลักฐาน แต่ก็บอกได้ว่าน้องหญิงและนายอ๊อฟอยู่ที่เดียวกัน เพราะสัญญาณโทรศัพท์ของหญิง และจีพีเอสรถเทรลเลอร์ อยู่ตำแหน่งเดียวกัน และยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากการตายของน้องหญิง ซึ่งทำให้ตนมั่นใจว่านายอ๊อฟเป็นคนทำร้ายน้องหญิง เพราะนายอ๊อฟอยู่กับน้องหญิงเป็นคนสุดท้าย โดยตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐาน เชื่อมให้ถึงนายท็อป แฟนของ น.ส.เป็ด ด้วย ทั้งนี้ เรื่องเสื้อของน้องหญิงที่หายไปในวันเกิดเหตุ ไม่มีผลกับคดี เพราะแพทย์ได้เก็บรายละเอียดร่างกายไว้แล้ว ซึ่งคดีนี้นายอ๊อฟไม่มีทางรอด ต้องโทษประหารชีวิตอย่างเดียว
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า วันที่ 19 ก.ค. 61 เวลา 23.00 น. พนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนเท็จ ที่มีการไปคุมตัวนายอ๊อฟ และรถเทรลเลอร์มาตรวจสอบแล้ว แต่ตรวจจริงคือวันที่ 28 ก.ค. 61 ตอนที่เริ่มเป็นข่าวดัง ซึ่งถ้าไม่มีสื่อฯ ลงพื้นที่ ตำรวจก็จะไม่ทำคดี จะลงบันทึกว่าเป็นอุบัติเหตุ และให้ญาติได้รับเงินเยียวยาจากบริษัทประกัน เพื่อจะญาติได้ผลประโยชน์จากการตายของน้องหญิงและสมประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตนรับไม่ได้ และเป็นตายอย่างอำมหิต ตนจึงคิดว่าตำรวจควรสนใจกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากถึงวัยรุ่นว่า เมื่อไปร้านเหล้า ก็มีโอกาสที่จะเมาและถูกล่วงละเมิดสูง และอยากฝากถึงตำรวจด้วยว่า ต้องมีหน้าที่บริหารโรงพักและดูแลประชาชน แต่เมื่อไม่สนใจประชาชน ก็ไม่ควรเป็นตำรวจ ควรไปเป็น รปภ. และอยากฝากบอกประชาชนว่า หากเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเอง ต้องอย่ากลัว ถ้าตำรวจไม่ทำให้ ก็ต้องไปเรียกร้องหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และเรียกร้องสื่อฯ ทั้งนี้ ตนคิดว่าตำรวจที่ดี ต้องมีมากกว่าตำรวจที่ไม่ดี
นอกจากนี้
นายอัจฉริยะ ให้สัมภาษณ์หลังจบรายการว่า ขณะนี้การดำเนินงานเรื่องการหาหลักฐานและพยานต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว ทั้งคลิป หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ พิกัดโทรศัพท์มือถือ โดยหลักฐานทั้งหมดมีความชัดเจน ซึ่งได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นของจริงหรือไม่
นายอัจฉริยะ ระบุว่า ในฐานะที่ตนเข้ามาช่วยเหลือหาความจริง ซึ่งตั้งแต่แรกตนมองว่าสิ่งที่ผู้ตายถูกกระทำไม่ใช่อุบัติเหตุ และตนมองว่าผู้ตายอายุเพียง 19 ปี เป็นผู้หญิง ก็เปรียบเสมือนลูกสาวตน หากเป็นลูกสาวที่จะต้องมาเจอเรื่องราวเช่นนี้ ซึ่งเด็กวัย 19 ปี ถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม ผิดมนุษย์ เหตุใดตำรวจจึงไม่ให้ความสนใจ และหลังจากนี้ ตนจะดำเนินการฟ้องผู้กำกับ สภ.บางปะอิน พร้อมกับพวก ในความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาตรา 157 ซึ่งขณะนี้ ถูกโยกย้ายไปช่วยราชการอยู่ ตนรู้ดีว่าหลังจากนี้ ผู้กำกับก็คงจะกลับมารับหน้าที่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ตนมีความสบายใจขึ้น และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ดำเนินการในคดีนี้ โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็จะสามารถคลี่คลายคดีได้