จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "เจ๊ม้อย vplus" โพสต์ภาพพร้อมบรรยายข้อความระบุว่า ภรรยา"ผู้สูญหาย"ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งสามีไปดื่มเหล้าที่บ้านหลังนั้น จึงไปตามถึงบ้าน แต่เจ้าของบ้านในขณะนั้นยังไม่ยอมออกมา สุดท้ายเจ้าของบ้านบอกว่าไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นตัวเองหลับอยู่ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้าตามทาง แต่ไม่พบตัวสามี ตอนนี้ก็ยังไม่เจอว่าเป็นยังไง ถึงจะไม่มีชีวิตอยู่ อย่างน้อยขอเจอตัวเพื่อทำพิธีก็ยังดี จากการตรวจสอบ ผู้สูญหายสวมสร้อยคอทองคำและเลสข้อมือ 10 บาทด้วยนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พลิกแผ่นดินหาร่างเสี่ยโกสน "พยาน" เปิดปากถูกกดหัวปืนยิง - เมียหวั่นถูกทิ้งทะเล
- ส่อถูกเก็บ! หนุ่มใหญ่หายตัวจากวงเหล้า เมียล่องเรือหาร่าง ดันเจอสาวใหญ่นิ้วขาด
- หนุ่มหายปริศนารอยเลือดโผล่เป็นทาง เมียหวั่นถูกอุ้มฆ่า คาใจเพื่อนวงเหล้ามีแผล
วันที่ 6 พ.ค. 64 เวลา 10.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังบ้านกำนันหมู่ 5 ต.ตะกรบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เนื่องจากในวันนี้ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิต และชาวบ้านตามมารวมตัวเพื่อประชุมเตรียมที่จะวางแผนการออกค้นหา มีผู้เข้าร่วมกว่า 30 คน
เวลา 13.00 น. ทางครอบครัวนายโกสน ชาวบ้าน พร้อมทีมข่าว ได้เดินทางไปยังท่าเรือแหลมโพธิ์ บริเวณเรียบคลองพุมเรียง ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดที่ไม่เคยค้นหา และอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะพบ เนื่องจากบริเวณนี้ เคยมีคนถูกยิงแล้วศพลอยขึ้นมา
ขณะล่องเรือทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางจินดาหรา วสินทรัพย์ อายุ 37 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต เผยว่า ในวันนี้เปลี่ยนแผนเล็กน้อย จากในตอนเช้าที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะแบ่งคนไปหาที่ทะเลด้วย แต่เกิดจากสภาพอากาศแปนปรวนฝนตก จึงเปลี่ยนมาล่องเรือ เลาะริมครองทั้งหมด
โดยมีคนรวมกัน 30 คน เรือ 4 ลำในการตระเวนช่วยกันคนหา เนื่องจากบริเวณนี้เคยมีคนถูกยิงแล้วศพลอยขึ้นมา และทางครอบครัวยังไม่ได้ลองค้นหา เนื่องจากระยะเวลาก็เลยผ่านมานานถึง 5 วันเกรงว่าหากล้าช้า จะมีความหวังที่จะพบร่างของสามีน้อยลงไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม ตนก็ต้องค้นหาต่อไปจนกว่าจะพบ เพราะมีความต้องการอยากจะพบร่างของสามี เพื่อนนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยเร็ว
จากข้อมูล วันจันทร์ที่ 10 ก.ย. 63 พล.ต.ท.ธานี ทวิชศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 ร่วมกับนายนิวัตน์ สวัสดิ์แก้ว ผู้ว่าราชการจ.สุราษฎร์ธานี ข้าราชการในสายตำรวจ รวมทั้งฝ่ายปกครองใน อ.ไชยา ได้เข้าร่วมพิธีดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระสารีริกธาตุ ภายในวัดพระบรมธาตุไชยาวรมหาวิหาร เพื่อยุติการฆ่าล้างแค้นของ 2 ตระกูลใน อ.ไชชยา คือ ตระกูล ยังอ้น กับตระกูล เศวตศิลป์ โดยมีพระครูพิเศษเขมาจาร วัดศรีสุวรรณ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ร่วมเป็นสักขีพยาน
บรรยากาศในขณะทำพิธี แต่ละฝ่ายจัดส่งตัวแทนข้างละ 6 คน เข้าไปร่วมพิธี ซึ่งมีการตรวจค้นอาวุธจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างละเอียด ฝ่ายตระกูลยังอ้นนำโดย นายโสภณ ยังอ้น อายุ 55 ปี กำนันตำบลตะกรบใน อ.ไชยา ขณะที่ตระกูลเศวตศิลป์ นำโดย นายสุรัตน์ เศวตศิลป์ อายุ 41 ปี พร้อมที่จะยุติการฆ่าล้างแค้นทั้งหมด หลังจากที่ทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้ติดต่อไปก็ตอบรับทันที ยอมรับว่าที่ผ่านมาต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา มีภรรยา 3 มีลูก 7 คน การฆ่าล้างแค้นกันไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่ความสูญเสีย
ขณะที่นายสุรัตน์ เศวตศิลป์ คู่กรณี กล่าวเช่นกันว่า ที่ผ่านมามีแต่ความสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย ยอมรับว่าไม่มีความสุข ไปไหมมาไหนต้องระวังตัวตลอดเวลา "คิดว่าทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะมีเข้าใจอันดีต่อกัน เพราะการฆ่ากันมีแต่ความสูญเสีย
โดย 2 ตระกูลดังกล่าวได้ฆ่าล้างแค้นกันถึง 6 ศพ โดยต่างฝ่ายต่างสูญเสียคนในครอบครัวไปฝ่ายละ 3 ราย ด้วยการใช้อาวุธสงครามในการก่อเหตุทั้งสิ้น กระทั่งมีการร้องเรียนไปยังกองปราบปรามเพื่อคลี่คลายคดีของการฆ่าล้างแค้น 2 ตระกูล และมีการตรวจค้นบ้านพักทั้ง 2 ฝ่าย ได้อาวุธไปจำนวนมาก ทั้งนี้ การฆ่าล้างแค้นติดต่อกันรวม 6 คดี เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2547 ต่อเนื่องมาจนถึงมีนาคม 2550 โดยชนวนเหตุเกิดมาจากผลประโยชน์จากการถือครองที่ดินใน อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี
นางจินดาหรา วสินทรัพย์ อายุ 37 ปี ภรรยาของผู้สูญหาย กล่าวว่า ล่าสุดด้านคดีความก็ยังคงไม่มีความคืบหน้าให้ตนทราบ เนื่องจากต้องรักษารูปคดี แต่ตนก็มั่นใจว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะคงดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเต็มที่ ตอนนี้ตนก็ยังมั่นใจและสามารถให้ข้อมูลผ่านสื่อได้แล้วว่าบุคคลที่เป็นผู้มีอิทธิพลที่คาดว่าน่าจะมีส่วนที่ทำให้สามีของตนต้องถูกยิงและหายไป และในวันเกิดเหตุ เจ้าตัวและพวกรวม 4 คน นายแน็ก ส่วนอีก 2 คนไม่ทราบชื่อ ก็เป็นคนโทรศัพท์ให้สามีออกไป และได้มาอยู่ภายที่เกิดเหตุกับสามีด้วย
อีกทั้งหากย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน ก็ทำให้ตนยิ่งมันมั่นใจว่าน่าจะเกี่ยวข้อง เพราะทางครอบครัวของสามีและครอบครัวของอีกฝ่าย ไม่ถูกกันเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจการประมง ซึ่งคนในครอบครัวของเขาเคยก่อเหตุฆาตกรรม คนในครอบครัวของสามีแล้ว 5-6 ราย คนล่าสุดคือ อาเหม๋ เป็นญาติกัน โดนยิงเสียก่อนผ่าท้องเอาหินใส่ มัดเชือก นำถ่วงทะเล ช่วงหลัง 2 ครอบครัวต้องมาตกลงกินน้ำสาบานกันว่าจะไม่รบกันอีก เพื่อจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์สูญเสีย
โดยในตอนแรกที่ตนไม่กล้าเปิดเผยยอมรับว่ากลัวจะได้รับอันตราย แต่พอมาถึงตอนนี้ตนมองว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว จึงอยากให้ทางเจ้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างเต็มที่ เพราะตอนนี้มีความกังวลว่าจะจับตัวคนร้ายไม่ได้ แล้วจะไม่เจอร่างของสามีที่หายไป ส่วนกรณีของนายตั้ม ที่กล่าวอ้างกับตนมาในแรก เรื่องพฤติการณ์การก่อเหตุในตอนแรกตนยอมรับว่าสงสัย แต่ตอนนี้หลังจากทั้ง นายตั้มและนายนัดถูกเจ้าหน้าที่กักตัวเป็นพยาน ตนก็มองว่า 2 คนที่โตมาพร้อมกับสามี กินอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ก็จะไม่น่ามีส่วนเกี่ยวการหายไป แต่ที่ในตอนแรกทั้ง 2 คนไม่บอกรายละเอียดให้กับตนทราบทั้งหมด อาจเป็นเพราะกลัวจะไม่ได้รับความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาทางครอบครัวและเพื่อนบ้านจะต่างช่วยกันออกร่วมค้นหาร่างของสามีทั้งทางทะเลและทางบก ที่คาดว่าอาจจะพบร่างของสามีก็ยังไม่พบ แต่ทางตนก็ยืนยันจะคงขอเดินหน้าทำการค้นหาร่างของสามีต่อไป เพราะมีความต้องการอยากจะนำร่างของสามีมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้ถูกต้อง หากสามีเสียชีวิตจริง โดยในวันนี้ก็จะแบ่งคนออกค้นหาทั้งทางบก และทางทะเล แต่ส่วนเรื่องรายละเอียดจำนวนคนการออกค้นหานั้นจะต้องว่ากันอีกที เพราะในตอนนี้ก็ยังคงต้องรอกันอยู่ที่บ้านกำนัน ต.ตะกรบ เพื่อรอประชุมว่าจะออกค้นหากันอย่างไรบ้าง
อีกทั้งตั้งแต่ช่วงเช้าฝนตกลงมาไม่หยุด จึงเป็นอุปสรรคในการค้นหา แต่ก็มีความหวังว่าหากทำการค้นหาได้ ก็จะพยายามเร่งค้นหา เพราะอยากจะพบร่างของสามีโดยเร็ว ส่วนประเด็นเรื่องหมอดูที่ทำนายว่าร่างของสามีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ในประเด็นเรื่องหมอดูตนว่าจะตัดทิ้ง เพราะเป็นข้อมูลเชิงกว้าง ยากต่อการค้นหา
นายพุฒิศรัณยู เรืองดุก หรือ ต๊ะ อายุ 26 ปี ลูกชายผู้สูญหาย เผยว่า ในตอนนี้ความหวังที่จะพบร่างก็ค่อนข้างน้อย เนื่องจากทางตนและคนในครอบครัวรวมถึงชาวบ้าน ช่วยหากันมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่พบ แต่อย่างไรในใจลึก ๆ ตนในฐานะลูกก็อยากจะหาร่างของพ่อให้เจอ เพื่อที่จะนำกลับมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้ถูกต้อง เสมือนเป็นการทำบุญให้พ่อ ซึ่งตอนนี้ตนก็มุ่งประเด็นผู้ต้องสงสัยคือใคร ที่เป็นครอบครัวที่มีปัญหากับครอบครัวของพ่อตนมานานรุ่นสู่รุ่น อีกทั้งกลุ่มบุคคลดังกล่าวก็อยู่กับพ่อในวันที่เกิดเหตุ และก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุกับพ่อ กลุ่มบุคคลพวกนี้ถือว่ามีอิทธิพล และเคยก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง ก็อยากจะให้ทางเจ้าที่ตำรวจดำเนินการติดตามตัวผู้ก่อเหตุให้ได้เร็ว ๆ เนื่องจากหวั่นจะได้รับอันตราย
อย่างไรก็ตามสำหรับตอนนี้ยอมรับว่าสภาพจิตใจของตนและคนในครอบครัวค่อนข้างแย่ เพราะตั้งแต่ขาดพ่อไปก็เสมือนขาดเสาหลักของครอบครัว แต่ก็ยังดีที่มีแม่ให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ บอกให้อดทนสู้ ๆ เข้มแข็ง เพื่อที่จะเป็นเสาหลักของครอบครัวต่อไปแทนพ่อ สุดท้ายนี้ หากตนมีโอกาสได้พูดกับพ่อตนก็อยากจะบอกว่า "ผมรักพ่อ ต่อไปนี้สิ่งที่พ่อทำหรือสร้างไว้ ตนจะเป็นผู้สานต่อ และพยายามเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อให้ได้"