จากกรณีภรรยาของนายโกสน ผู้สูญหาย ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่สามีไปดื่มเหล้าที่บ้านหลังดังกล่าว จึงไปตามถึงบ้าน แต่เจ้าของบ้านยังไม่ยอมออกมา สุดท้ายบอกว่าไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นกำลังนอนหลับ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้า แต่ไม่พบตัวสามี ซึ่งในวันดังกล่าวสามีได้สวมสร้อยคอทองคำและเลสข้อมือหนัก 10 บาทออกไปด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ตะลึงก๊วนอุ้มเสี่ยโกสนเปิดปากจับยิงฝังบ่อดิน บิ๊กตำรวจผงะบุกค้นศพหาย
- หมอปลาพิสูจน์จุดอุ้มฆ่าโกสน เชื่ออิทธิพลเฮี้ยนกว่าผี เมียเสนอเงินแสนแลกศพ
- เปิดปมเสี่ยโกสนถูกอุ้มโยง 2 ตระกูลตาย 6 ศพต้องสาบานสงบศึก เมียหวั่นซ้ำรอย
- พลิกแผ่นดินหาร่างเสี่ยโกสน "พยาน" เปิดปากถูกกดหัวปืนยิง - เมียหวั่นถูกทิ้งทะเล
วันที่ 10 พ.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำและตำรวจภูธรภาคพาครอบครัวของเสี่ยโกสน ลงเรือเจ้าหน้าที่ไปยังพื้นที่กลางทะเลอ่าวไทย พิกัดหมู่เกาะอ่างทองน้อย กลุ่มเกาะสุดท้าย ก่อนเข้าเขตพื้นที่เกาะสมุย นำเรือ 2 ลำ เป็นเรือเจ้าหน้าที่และเรือประมงชาวบ้านออกทำการค้นร่าง ซึ่งมีนายนัด คนขับเรือ เป็นคนพาเจ้าหน้าที่ไปชี้พิกัด
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวตรวจสอบประวัติย้อนหลังของนายจิรายุทธ เศวตศิลป์ หรือ โจ้ หนึ่งในกลุ่มที่ตำรวจได้มีการควบคุมตัวสอบปากคำ และให้การรับสารภาพว่าเป็นคนขุดหลุมฝังร่างของเสี่ยโกสน ซึ่งเป็นลูกชายของนายสุธี เศวตศิลป์ พี่ชายของนายสุรัตน์ ส่วนนายแน็กก็เคยมีประวัติทางคดีเช่นกัน
ย้อนกลับไปช่วงวันที่ 15 ก.พ. 63 รายการทุบโต๊ะข่าว เคยนำเสนอข่าวนายจิรายุทธ หรือ โจ้ ก่อเหตุยิงนายณรงค์เดช สังข์สิงห์ อดีตทหารพรายเสียชีวิต และถูกดำเนินคดีในข้อหาเจตนาฆ่าผู้อื่น มีการควบคุมตัวและทำแผน จากนั้นกระบวนการยังอยู่ในชั้นศาล ซึ่งนายโจ้ได้รับการประกันตัว มีการก่อเหตุซ้ำ เกี่ยวข้องกับการตายของเสี่ยโกสน
นางมุด (นามสมมติ) อายุ 45 ปี แม่ของนายณรงค์เดช อดีตทหารพรานที่เสียชีวิต เปิดใจว่า เหตุการณ์ในวันนั้นลูกชายของตนเองแวะไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้าน พบว่ากลุ่มเพื่อนกำลังมีเรื่องกับนายโจ้ แต่ลูกชายอาสาเป็นตัวกลางไปเคลียร์ให้ สุดท้ายกลับถูกยิงเสียชีวิต ลูกชายถูกยิงเข้าที่ด้านหลังกระสุนตัดขั้วหัวใจ แขนและขา จากนั้นนายโจ้ก็ได้หลบหนีไป จนกระทั่งถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา ซึ่งแม้ว่ากระบวนการยุติธรรมจะเป็นไปตามขั้นตอน เรื่องอยู่ในชั้นศาล แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะติดช่วงโควิด-19 ประกอบกับนายโจ้ได้รับการประกันตัวออกมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ส่วนตัวรู้สึกกังวลและกลัวเรื่องความปลอดภัย
ในฐานะครอบครัวของผู้สูญเสีย แปลกใจต่อการกระทำของนายโจ้ ทั้งที่เมื่อประมาณช่วง 2 ปีก่อน เพิ่งจะก่อเหตุยิงลูกตนเองตาย แต่ทำไมถึงไม่มีจิตสำนึกหรือคิดที่จะแก้ตัว ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเสี่ยโกสน ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไม่สามารถเป็นบทเรียนได้ ก็อยากให้กระบวนการยุติธรรมให้ความเป็นธรรมต่อครอบครัวดำเนินคดีนายโจ้ให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ ช่วงที่มีการจัดงานศพของลูกชาย ยอมรับว่าครอบครัวของนายโจ้ ก็ยังพยายามเข้ามาที่จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อขอให้จบคดี แต่ครอบครัวของตนเองที่สูญเสียลูกไปแล้ว ลูกยังเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว จึงไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว และเชิญให้ออกจากงานศพ แต่ก็ไม่คิดว่านายโจ้จะกลับมาก่อเหตุซ้ำได้อีก
นายลุง (นามสมมติ) อายุ 57 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ท่าชนะ เปิดเผยประวัติและวีรกรรมของนายแน็กว่า ก่อนที่จะเกิดเรื่องอุ้มหายเสี่ยโกสน ย้อนกลับไปช่วงประมาณ 4 ปีก่อน นายแน็กและเพื่อนไปนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านข้าวต้มในพื้นที่ท่าชนะ จากนั้นได้เกิดมีปากเสียงกับโต๊ะข้าง ๆ ซึ่งเป็นกลุ่ม อส.อำเภอท่าชนะ จึงได้ใช้อาวุธปืนที่พกมาด้วยยิง อส. ตายคาร้าน แต่เรื่องดังกล่าวก็ถูกปิดเงียบ และไม่เป็นข่าว รวมถึงครอบครัวของนายแน็กก็ใช้เงินจำนวนหนึ่งเข้าไปเคลียร์กับครอบครัว อส. ซึ่งทำให้คดีไม่มีความคืบหน้า และจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าปริปากที่จะเล่าเรื่องราวให้ใครฟัง มีเพียงชาวบ้านที่รู้ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้
ส่วนตัวก็ไม่คิดว่าจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่นายแน็กเคยมีคดีหรือว่าทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้ว จะกล้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายหรือการหายไปของเสี่ยโกสนครั้งนี้อีก ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องมองถึงพฤติกรรมความรุนแรง และการก่อเหตุซ้ำ ๆ แบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย อยากให้สังเกตพฤติกรรมของนายแน็กและนายโจ้ ทุกครั้งที่มีการก่อเหตุก็จะไม่เกรงกลัว เพราะมองว่ากลุ่มของเจ้าตัวเป็นคนของนายสุรัตน์ สามารถเครียร์ได้ทุกเรื่อง
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้พยายามติดต่อไปยังครอบครัวของ อส.ท่าชนะ ที่เคยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ถูกยิงที่ร้านข้างต้ม แต่ทางครอบครัวไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล อ้างว่าเรื่องผ่านไปแล้ว