กรณีหญิงสาวรายหนึ่ง รับงานเอนเตอร์เทนเนอร์ ที่บ้านพักแห่งหนึ่ง อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี และอาการน็อกยาต้องนำส่งโรงพยาบาล กระทั่งวันที่ 12 พ.ค.64 เสียชีวิต โดยพ่อแม่ของผู้ตายสันนิษฐานว่า ลูกสาวถูกมอมยาเคจนหมดสติก่อนจะเสียชีวิต หลังเกิดเรื่องคู่กรณีติดต่อมาแล้วว่าจะรับผิดอบ แต่จนถึงวันเผาศพก็ยังไม่มาร่วมงาน ด้วยเหตุนี้ญาติ ๆ จึงเกรงว่าเมื่อเผาศพไปแล้วเรื่องอาจจะเงียบหรือไม่
ล่าสุดวันที่ 16 พ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่วัดไผ่หูช้าง ต.ไผ่หูช้าง อ.บางเลน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของ น.ส.กมลรัตน์ อุทัยอ่วม หรือ ฝ้าย อายุ 25 ปี ในเวลา 14.00 น. ทางญาติพี่น้องได้จัดพิธีฌาปนกิจศพ
น.ส.กัญญาภัทร เกษมวงศ์ อายุ 46 ปี แม่ของผู้ตาย เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเรื่องประมาณ 3 วัน น.ส.กมลรัตน์ ลูกสาวบอกว่า จะกลับไปรับงานชงเหล้า เพราะมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ซึ่งในวัน 8 พ.ค.64 ลูกสาวบอกว่าจะไปรับงานชงเหล้า แต่ตนเข้าใจว่าเป็นการชงเหล้าเอนเตอร์เทนลูกค้าตามปกติ
ในวันที่ 9 พ.ค.64 น.ส.กมลรัตน์จะตื่นก่อนคนอื่น และเวลาตื่นขึ้นมาจะไปปลุกทุกคนให้ไปกินข้าว กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. เพื่อนเข้ามาดู พบว่ามีอาการมือเกร็ง และนอนอยู่ท่าเดียว จากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. เพื่อนของผู้ตายได้โทรศัพท์มาบอกตนว่า ลูกสาวอยู่โรงพยาบาล เพราะหัวใจหยุดเต้น ตนรีบตามไปทันที ทั้งนี้ผู้ตายมักจะโทรศัพท์มาบอกตนตลอดว่าจะไปไหน ทำอะไร ซึ่งตนรับรู้ว่าลูกทำงานพีอาร์ชงเหล้า แต่ตนเข้าใจว่าเป็นการเอนเตอร์เทนเฉย ๆ
กระทั่งมาเกิดเรื่อง ตนจึงได้สอบถามเพื่อนของผู้ตายทราบว่า งานเอนเตอร์เทนมี 2 แบบ คือ ชงเหล้าธรรมดา กับ ตี้ ซึ่งหมายถึงเสพยา ทั้งนี้ตนไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกต้องไปรับงานแล้วให้เสพยา เพราะหากตนรู้คงจะไม่ให้ไปทำแบบนั้น ซึ่งปกติลูกสาวจะไม่ได้รับงานลักษณะนี้ และมักจะรับงานชงเหล้าตามร้านอาหารมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ลูกสาวคงจะรู้อยู่แล้วว่าจะถูกให้เสพยา แต่คงจะไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้ อีกทั้งเมื่อรับงานไปแล้ว ลูกค้าให้ทำอะไรก็ต้องยอมทำ เบื้องต้นจากผลชันสูตรทราบว่า มีสารเสพติดในร่างกายเกินขนาด มีภาวะแทรกซ้อนจากตับวาย ส่วนตัวได้แจ้งความไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พ.ค.64 แล้ว เพราะตนมั่นใจว่าลูกสาวไม่มีทางพกยาไปเสพเองอย่างแน่นอน
ทั้งนี้คู่กรณีติดต่อมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ แต่ไม่ได้แจ้งเป็นกิจลักษณะว่า จะช่วยอย่างไร อีกทั้งคู่กรณียังรับปากว่าจะมาขอขมา แต่จนถึงวันเผาศพก็ยังไม่มา หลังจากนี้ตนก็ไม่รู้ว่าคู่กรณีจะให้การกับตำรวจอย่างไร ตนอยากจะให้คู่กรณีออกมารับผิดชอบ เพราะการที่ตนสูญเสียลูกไป เอาอะไรมาก็เทียบไม่ได้ นอกจากนี้ผู้ตายเป็นเสาหลักของครอบครัว และเลี้ยงดูทุกชีวิตในครอบครัว อีกทั้งยังรับภาระทุกอย่าง ทั้งส่งน้องชาย อายุ 19 ปีเรียนหนังสือ และยังดูแลลูกชาย อายุ 4 ปี ทั้งนี้หลานจะต้องกำพร้าทั้งพ่อและแม่ เขามักจะพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “เมื่อไหร่ฝ้ายจะมา คิดถึงฝ้ายนะ”
เบื้องต้นส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ซึ่งอยู่ในระหว่างการรอผลชันสูตรที่ละเอียดอีกครั้งว่า ภายในร่างกายจะมีสารเสพติดอะไรบ้าง
ทีมข่าวได้พูดคุยดับ น.ส.อารีย์ แหยมจุ้ย หรือ พิงก์ อายุ 21 ปี และน.ส.สมพร พึ่งล้อม หรือ พลอย อายุ 23 ปี เพื่อนที่รับงานด้วยกัน เปิดเผยว่า งานที่รับไม่ใช่ปาร์ตี้ แต่เป็นการรับงานเอนเตอร์เทนชงเหล้าให้ลูกค้า และมีการตี้ด้วย ซึ่ง ตี้ หมายถึงเสพยา
ในวันที่ 8 พ.ค.64 ผู้ตายได้รับงานจากคนรู้จัก และได้ชักชวนให้ตน 2 คนไปร่วมงานด้วย ซึ่งตกลงราคากันที่ 1,500 บาท และต้องทำงานตั้งแต่ 24.00-05.00 น. ลักษณะการทำงานคือ มีการเต้น ชงเหล้า และเสพยา แต่ตนไม่ทราบว่าให้เสพยาอะไรบ้าง จำได้แค่ว่าเป็นผงสีขาว ๆ เรียกกันว่าเค
กระทั่งเวลา 23.00 น. ทุกคนนั่งรถออกจากที่พัก ซึ่งอยู่ใน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี และวันที่ 9 พ.ค.64 เวลาประมาณ 24.00 น. ได้เดินทางถึงสถานที่ทำงาน ซึ่งภายในงานมีทั้งหมด 7 คน ผู้ชาย 4 คน (จำชื่อได้แค่ 2 คน ชื่อ เพชร กับ บอย) และผู้หญิง 3 คน ในระหว่างที่ทำงานลูกค้าได้ยื่นยามาให้เสพ พวกตนก็แค่ดมพอประมาณ ตอนนั้นทุกคนกำลังทำงาน จึงไม่มีใครเห็นตอนที่น.ส.กมลรัตน์ กำลังเสพยา แต่เวลาประมาณ 6.00 น. น.ส.กมลรัตน์ ได้ฟุบลงไปนอนที่พื้น พวกตนก็เมามากเช่นกัน
จากนั้นรุ่นพี่ที่มารอรับกลับได้พาพวกตนทั้ง 3 คนกลับทันที ซึ่งถ้าพวกตนไม่ได้รุ่นพี่คนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาในสภาพไหน กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ตนจะปลุกให้ผู้ตายไปกินข้าว แต่ผู้ตายไม่รู้สึกตัว และหัวใจเริ่มหยุดเต้น ทุกคนจึงรีบพากันไปส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ไม่มีใครอยากจะให้เกิดเรื่องขึ้น เพราะถ้ารู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ทุกคนก็คงจะไม่ไป โดยตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ทุกคนเพิ่งจะได้กลับมารับงาน และงานนี้เป็นงานแรกที่รับ
โดยช่วง 10 วันที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ตนกับผู้ตายเพิ่งจะได้รับงานเพียง 2 ครั้ง คือ งานชงเหล้า 1 งาน และอีกงาน คือ วันที่เกิดเหตุ ส่วนตัวไม่รู้จักกับเจ้าของงาน แต่น.ส.กมลรัตน์ รู้จักกับเจ้าของปาร์ตี้ ซึ่งหลังเกิดเรื่องคู่กรณีได้บอกว่า จะมาเจรจากับครอบครัว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เข้ามา และไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนหรือไม่ ขณะนี้สภาพจิตใจของตนย่ำแย่มาก และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไปทำงานและอยู่ด้วยกันเสมอ
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.วรรณิษา นรสิงห์ หรือ แนท อายุ 31 ปี เพื่อนรุ่นพี่ที่ไปรอรับทุกคน เปิดเผยว่า ตนเคยทำงานเป็นแม่ครัวที่ร้านเหล้า ซึ่งผู้ตายเคยมารับงานเอนเตอร์เทนชงเหล้าที่ร้านของตนอยู่บ่อย ๆ
ในวันที่ 8 พ.ค.64 ทุกคนที่ไปรับงานได้บอกให้ตนไปรับ ซึ่งตนไปรอตั้งแต่เวลาประมาณ 03.00 - 4.00 น. ระหว่างที่นั่งรอเวลาประมาณ 05.00 น. เป็นต้นไป ตนสังเกตเห็นว่าทุกคนเริ่มไม่รู้สึกตัว และเริ่มมีอาการชา ๆ ซึ่งผู้ตายมีอาการหนักสุด จู่ ๆ ก็ฟุบลงไปนอนที่พื้น แต่ผู้ตายมักจะเมาง่ายแบบนี้เลยไม่ได้เอะใจ และตอนนั้นยังมีชีพจรและหายใจตามปกติ
จากนั้นเวลาประมาณ 6.00 น. ตนได้พาทุกคนกลับมาที่ห้องเช่า ซึ่งทุกคนมีอาการเมาหมด แต่คนที่หนักสุด คือ ผู้ตาย เมื่อกลับมาที่ห้องเช่า ทุกคนนอนหลับหมดเข้าใจว่าเมาหลับกันเฉย ๆ กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ทุกคนได้ปลุกผู้ตาย พบว่าผู้ตายมีชีพจรอ่อน จึงทำซีพีอาร์ก่อนนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ตนทราบว่ามีการเสพยา แต่ไม่รู้ว่าลูกค้ายื่นให้หรือเสพเอง ตนไม่รู้จักกับคู่กรณี และตนเพิ่งจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก
ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านหลังเกิดเหตุ ในพื้นที่ ต.ไผ่กองดิน อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งบ้านพักดังกล่าวเป็นฟาร์มแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในซอยใกล้ ๆ กันมีบ่อน้ำสำหรับเลี้ยงปลา โดยจุดที่มีงานปาร์ตี้อยู่ภายในห้อง ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากประตูรั้วบ้านประมาณ 10 เมตร ลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยม ปกติใช้เป็นห้องนอน และตอนที่เกิดเหตุ เป็นห้องโล่ง ๆ นั่งดื่มกันที่พื้น และบางทีก็ลุกขึ้นเต้นบ้าง
จากการสอบถามนายเอ (นามสมมติ) อายุ 21 ปี เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 พ.ค.64 ตนกับเพื่อนอีก 3 คน ได้แก่ นายพี (คนที่เรียกเด็กมาเอนฯ) นายยักษ์ และนายอาร์ม ได้มานั่งดื่มเบียร์ที่บ้านของตน จากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น. นายพี บอกว่าอยากจ้างเด็กเอนฯ และได้ค้นหาจากในเฟซบุ๊ก ซึ่งตนไม่ทราบว่านายพี รู้จักกับเด็กเอนฯ เป็นการส่วนตัวหรือไม่ จึงมีการตกลงว่า 4 ชั่วโมง ราคา 1,500 บาทต่อคน
กระทั่งเวลาประมาณ 24.00 น. กลุ่มเด็กเอนฯ จำนวน 3 คน ได้มาถึงบ้านของตน ระหว่างนั้นทุกคนได้ดื่มเหล้า และเสพยาลักษณะเป็นผงขาว ๆ แต่ผู้หญิงเป็นฝ่ายนำยามา เพราะฝั่งของตนมียาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากเกิดเรื่องตำรวจได้มาตามตนถึงบ้าน และตนก็ยินดีให้ปากคำกับตำรวจ ไม่ได้หนีไปไหน และขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะไปขอขมา แต่ตนไม่ทราบว่าจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิตจะเป็นอย่าง เกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งทำร้ายร่างกายตนหรือไม่