จากกรณีภรรยาของนายโกศล ผู้สูญหาย ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่สามีไปดื่มเหล้าที่บ้านหลังดังกล่าว จึงไปตามถึงบ้าน แต่เจ้าของบ้านยังไม่ยอมออกมา สุดท้ายบอกว่าไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นกำลังนอนหลับ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้า แต่ไม่พบตัวสามี ซึ่งในวันดังกล่าวสามีได้สวมสร้อยคอทองคำและเลสข้อมือหนัก 10 บาทออกไปด้วย ต่อมาตำรวจออกหมายจับ 8 รายแล้วนั้น
กระทั่งวันที่ 15 พ.ค.64 ภายหลังตำรวจออกหมายจับเพิ่มเติม 1 คน คือ นายนพดล หรือ เอ็ด เศวตศิลป์ อายุ 33 ปี ซึ่งทำหน้าที่ช่วยกันนำศพนายโกศล ไปฝังบริเวณป่าหมู่ที่ 5 ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี การดำเนินการจับกุมครั้งนี้
ล่าสุดวันที่ 16 พ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้รับหลักฐานเพิ่มอีก 1 ชิ้น ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ บริเวณบ่อทรายของนายสุรัตน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บหลักฐานดังกล่าวไปตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค.64 โดยพบหมวกสีเทาปักเป็นลายธงชาติไทย และมีข้อความบนหมวก “Thailand” ตกหล่นห่างจากบ่อทรายจุดฝั่งร่างเสี่ยโกศล เพียง 5 เมตร
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมวกใบดังกล่าว ไปเทียบเคียงและสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ กระทั่งทราบว่าหมวกใบดังกล่าวเป็นของ นายเจริญ คะเชนทอง หรือ บ่าวพร อายุ 57 ปี ผู้ต้องหาชุดแรกที่ออกหมายจับพร้อมกับนายสุรัตน์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการควบคุมตัวไปสอบปากคำ และให้ยืนยันหมวกใบดังกล่าวว่าเป็นของเจ้าตัวหรือไม่ จากนั้นได้มีการขยายผลและสอบปากคำเข้ม จนมีการรับสารภาพ และบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ในระหว่างการย้ายศพเพื่อไปขึ้นเรือที่คลองพุมเรียง ได้มีการถอดหมวกวางไว้ เพราะเนื่องจากอากาศร้อน ในขณะที่มีการเตรียมอุปกรณ์และมีการย้ายร่างเสี่ยโกศล จึงไม่ทันระวังตัว วางหมวกทิ้งเอาไว้ และไม่ได้ย้อนกลับไปเอา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการล็อกตัวในฐานะผู้ร่วมก่อเหตุฝั่งและย้ายอำพรางร่างเสี่ยโกศล
ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของบ่าวพร หรือ นายเจริญ พบว่าบ้านหลังดังกล่าวปิดเงียบ เนื่องจากเจ้าตัวอาศัยอยู่เพียงลำพัง มีญาติอยู่พื้นที่อื่น หลังจากถูกควบคุมตัวไปดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันอุ้มฆ่าเสี่ยโกศล จึงไม่มีใครมาอยู่อาศัยที่บ้านหลังดังกล่าว
นางสรวย (นามสมมติ) ลูกพี่ลูกน้องบ่าวพร เปิดเผยว่า จากลักษณะหมวกดังกล่าวที่ทีมข่าวเอามาให้ดู ไม่ยืนยันว่าเป็นหมวกของบ่าวพรหรือไหม แต่เจ้าตัวเป็นคนที่ติดหมวก ไปไหนมาไหนก็จะใส่หมวกตลอด และส่วนตัวในฐานะญาติ หลังจากทราบว่าบ่าวพร ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอุ้มฆ่าเสียโกศล ก็มีความเป็นห่วงและกังวลใจ เพราะเจ้าตัวเป็นเพียงแค่คนแก่คนหนึ่งที่ไปรับจ้างหาเช้ากินค่ำ และไปเป็นลูกน้องให้กับนายสุรัตน์ ตนเองจึงไม่รู้ว่าถูกบังคับหรือขอให้มีการไปช่วยในการก่อเหตุครั้งนี้อย่างไร แต่ยืนยันว่า บ่าวพร เป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัยอะไรกับใคร และไม่เคยที่จะก่อเหตุหรือ ใช้ความรุนแรงกับใคร ก็เป็นชาวบ้านคนหนึ่งที่ไปเป็นลูกน้อง ทำงานรับจ้างให้กับนายสุรัตน์เท่านั้น