จากกรณีภรรยาของนายโกศล ผู้สูญหาย ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่สามีไปดื่มเหล้าที่บ้านหลังดังกล่าว จึงไปตามถึงบ้าน แต่เจ้าของบ้านยังไม่ยอมออกมา สุดท้ายบอกว่าไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นกำลังนอนหลับ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้า แต่ไม่พบตัวสามี ซึ่งในวันดังกล่าวสามีได้สวมสร้อยคอทองคำและเลสข้อมือหนัก 10 บาทออกไปด้วย ต่อมาตำรวจออกหมายจับ 8 รายแล้วนั้น
วันที่ 17 พ.ค. 64 ข้อมูลจากชุดสืบสวนคดี คำให้การของผู้ต้องหา นายเจริฐ หรือ บ่าวพร และพยานในคดี นายนัด น้องชายนายเอ็ด ผู้ต้องหา ได้ให้การเกี่ยวกับที่ซุกซ่อนของกลาง อาทิ จอบ เชือก ผ้าใบ ปืน เลื่อย และเรือไฟเบอร์เล็ก ซึ่งในวันเกิดเหตุ 2 พ.ค. กลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันซ่อนอำพรางศพ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มขนย้ายศพใส่รถกระบะ, กลุ่มช่วยกันขุดหลุมฝั่ง (นายนัดกับนายเอ็ด), กลุ่มเตรียมอุปกรณ์
มีการแบ่งหน้าที่การทำงาน โดยมีผู้ต้องหา 2 ราย อยู่ที่ขนำเลี้ยงหอยฝั่งตรงข้ามจุดนำศพลงเรือ ซึ่งเป็นขนำของนายสุรัตน์และครอบครัวเศวตศิลป์เป็นเจ้าของ เมื่อได้รับคำสั่งทางโทรศัพท์ให้นำอุปกรณ์ไปช่วยขุดหลุมฝังร่างเสี่ยโกศล จึงได้นำอุปกรณ์ลงเรือเล็ก ขับข้ามฝั่งคลองพุงเรียงไปเทียบจุดที่นำศพลงเรือ เอาอุปกรณ์ไปให้กลุ่มคนก่อเหตุที่รออยู่อีกฝั่งคลองนำไปที่หลุม หลังจากทำการขุดหลุม และฝั่งร่างของเสียโกศลแล้ว กลุ่มคนก่อเหตุบางส่วนย้อนกลับไปที่เรือเล็กลำเดิมที่จอดเทียบท่ารอ นำอุปกรณ์ที่ใช้ขุดลงเรือ พร้อมนำเอาปืนที่ใช้ก่อเหตุยิงในจุดแรก ลงเรือเพื่อนำไปอำพรางพร้อมกับอุปกรณ์ช่วยขุดหลุม จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ
ทีมข่าวลงเรือหางยาวพร้อมกับกลุ่มชาวบ้าน มุ่งหน้าไปที่ขนำที่เคยเป็นจุดซุกซ่อนของกลางหรือหลักฐานที่ใช้ก่อเหตุ พบว่าถ้าหากมีการล่องเรือไปตามลำคลองพุงเรียง ไม่ทันได้สังเกตบริเวณ 2 ฝั่งคลองอย่างละเอียดจะไม่สามารถมองเห็นขนำได้ เพราะมีต้นโกงกางในพื้นที่เขตป่าชายเลนของชุมชนบังไว้ เป็นบ้านไม้ขนาดเล็กยกสูง มีห้องนอน 1 ห้อง มีเปลนอน 2 เปล อุปกรณ์ยังชีพ ถุงน้ำดื่ม อุปกรณ์จับปลา ติดตั้งแผงโซลาเซลล์ 2 ตัว โดยไม่พบว่ามีคนอาศัยอยู่
จากที่ตั้งของขนำอยู่ตรงข้ามกับจุดที่นำศพลงเรือ อยู่ห่างกันประมาณ 500 เมตร ถ้าหากนั่งสังเกตการณ์อยู่ภายในขนำ จะพบเห็นความเคลื่อนไหวในคลองพุงเรียง และยังสังเกตเห็นพื้นที่ด้านหลังของบ่อทราย จุดดังกล่าวค่อนข้างเป็นทำเลที่เหมาะสมมองเห็นสภาพได้กว้างมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันช่วงที่ทีมข่าวลงพื้นที่มาทำการตรวจสอบขนำ ชาวบ้านยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ยังมีขนำลอยน้ำซึ่งทำเป็นลักษณะบ้านมุงหญ้าคา ล้อมด้วยสังกะสี ลอยอยู่บนทุนสีฟ้าเขียว โดยขนำดังกล่าวใช้เป็นที่เลี้ยงหอยแมลงภู่ พบว่าเป็นขนำของนายสุรัตน์และ คนในครอบครัวเศวตศิลป์
ด้านนายนำ (นามสมมติ) ชาวบ้านพุงเรียง เปิดเผยว่า ขนำมีนายสุรัตน์เป็นเจ้าของ และนายสุรัตน์ก็จะใช้เป็นที่รวมตัวกับลูกน้องและคนสนิท ที่สำคัญจุดตั้งขนำอยู่ไม่ไกลจากจุดเทียบเรือนำศพลงทะเล และยังเป็นที่เหมาะสมสำหรับนั่งสังเกตความเคลื่อนไหวในคลองพุ่มเรียง เป็นที่ลับตาคน ที่สำคัญขนำดังกล่าวก่อนหน้านี้ วันที่ 2-3 พ.ค. หลังจากที่มีการฝังร่างของเสี่ยโกศลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคลองพุมเรียง มีคนที่ร่วมกระบวนการ 2 คน เป็นคนนำอุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุขุดฝั่งร่างเสี่ยโกศล อาทิ จอบ ไม้ และปืนของกลาง ขนขึ้นเรือไฟเบอร์เล็ก เอาไปซ่อนที่ขนำของนายสุรัตน์
โดยในวันดังกล่าวมีชาวบ้านพบเห็นความเคลื่อนไหวที่ขนำ มีคนอยู่อาศัย มีการเปิดไฟโซลาเซลล์อาศัยอยู่ แต่เป็นช่วงเวลาประมาณกลางดึก เมื่อมีการแจ้งเบาะแสและความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่คาดว่าเป็นผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบช่วงเวลา 07.00 น. วันที่ 5 พ.ค. พบว่ามีเพียงขนำว่างเปล่า มีแค่อุปกรณ์ยังชีพและอุปกรณ์หาปลาหลงเหลืออยู่ แต่ไม่พบของกลางที่ใช้ก่อเหตุ
ส่วนตัวในฐานะชาวบ้านและชาวประมงที่หากินอยู่ในบริเวณพุมเรียง ข้อสังเกตว่าทำไมครอบครัวของนายสุรัตน์ ทำไมถึงสามารถเข้าไปจับจองและสร้างขนำในพื้นที่ดังกล่าวได้ จึงอยากวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำการตรวจสอบ เนื่องจากมีการใช้พื้นที่หรือใช้อภิสิทธิ์พิเศษเกินกว่าชาวบ้านทั่วไป
ทีมข่าวยังได้รับข้อมูลซึ่งเป็นภาพรอยเท้าเหยียบดินปนทราย ริมคลองพุมเรียง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้เป็นหลักฐานในการนำจับผู้ต้องหา และเป็นหลักฐานในการยืนยันพิกัดท่าเทียบเรือ ที่ใช้ในการลำเลียงร่างของเสี่ยโกศลขึ้นเรือ โดยลักษณะรอยเท้าจะเป็นรอยเท้าที่มีความลึก สันนิษฐานว่าอาจมีการยกของหนัก เช่น แบกเสาปูน แบกศพลงเรือ ด้วยสภาพดินปนทราย ทำให้น้ำหนักตัวของกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ลักษณะดินยุบตัวลึกกว่าการเหยียบเดินธรรมดาของชาวบ้านที่ออกหาปลาในคลอง
ทีมข่าวยังได้มีการทดสอบ เหยียบพื้นดินปนทรายอยู่ริมคลองพุมเรียง เป็นฝั่งเดียวกันกับจุดที่มีการนำร่างของเสี่ยโกศลลงเรือ แต่ไม่ใช่สถานที่เกิดเหตุ เป็นลักษณะดินที่มีความคล้ายและใกล้เคียงกันเท่านั้น โดยให้ผู้ช่วยช่างภาพ คือนายอรรถภัทร ขุ่มสกุล น้ำหนักประมาณ 90 กิโลกรัม ทดสอบเหยียบพื้นดินปนทรายบริเวณริมคลอง โดยจากการเหยียบและเดินบริเวณริมคลอง จะมีลักษณะยุบตัวลงเพียงแค่ 2-5 ซม.
แต่เมื่อทีมข่าว ทดสอบด้วยการให้ผู้ช่วยช่างภาพอุ้มนายณัฐวุฒิ ปงลังกา ผู้สื่อข่าว นำหนัก 60 กิโลกรัม น้ำหนักรวม 150 กิโลกรัมพบว่าในขณะที่ก้าวเดินจะทำให้มีลักษณะดินยุบตัวมากกว่า ความลึกอยู่ที่ประมาณ 10 ซม. แต่ในช่วงที่ดินนิ่มยุบตัวง่าย มีความลึกของรอยเท้าประมาณ 15 ซม. การทดสอบ 2 รูปแบบ ลักษณะของรอยเท้าจะมีความแตกต่าง หากมีน้ำหนักตัวมากหรือมีการยกของหนัก จะทำให้เกิดรอยยุบบนดินปนทรายริมคลองพุมเรียงได้มากกว่า
ส่วนวันนี้ครอบครัวของเสียโกศลไม่ได้มีปฏิบัติการค้นหาทางทะเลหรือในคลองพุมเรียง นางจินดาหรา วสินทรัพย์ หรือ เกว ภรรยาของเสี่ยโกศล เดินทางไปที่บ้านร่างทรง หลังจากที่เดินทางกลับมาถึงบ้านได้ขับรถออกไปพร้อมกับชาวบ้านบางส่วน มุ่งหน้าไปที่แหลมซุย จุดแรกที่ผู้ต้องหาอ้างว่าจะนำร่างของเสียโกศลไปลงเรือ
นางจินดาหรา ภรรยาเสี่ยโกศล เดินทางไปถึงที่แหลมซุย ได้มีการค้นหาภายในพื้นที่ป่าริมทะเล มีลักษณะเป็นต้นโกงกางเล็ก มีน้ำไหล แต่พื้นดินมีลักษณะเป็นพื้นทราย ซึ่งภรรยาและคนในครอบครัวได้เดินตามหาตามพื้นทรายและใต้ต้นไม้ เพื่อค้นหาเบาะแสร่องรอยของการขุดใหม่ เผื่อจะมีการนำร่างของเสี่ยโกศลย้ายมาฝั่งอำพรางบริเวณจุดดังกล่าว แต่การค้นหาบริเวณพื้นที่แหลมซุย ก็ยังไม่มีวี่แววหรือคบเบาะแสของเสี่ยโกศล
หลังการค้นหาใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง นางจินดาหรา วสินทรัพย์ หรือ เกว ภรรยาของเสี่ยโกศล เปิดเผยว่า ตนเองลงพื้นที่มาตามหาบริเวณแหลมซุย สถานที่แห่งนี้ได้มีคนชี้เป้าคือร่างทรง ให้ลองย้อนมาค้นหา ให้หาบริเวณจุดที่พบโทรศัพท์ และในละแวกใกล้เคียง ตนเองจึงได้มาค้นหาในวันนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่พบเบาะแส ร่างทรงคนที่ให้ข้อมูลกับตนเอง เป็นร่างทรงคนแรกที่ตนเองเคยไปดูดวงเอาไว้ จำได้ว่าวันนั้นคือวันที่ 3 พ.ค. วันแรกที่เสี่ยโกศลหายตัวไป ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าหลังจากที่สามีตายแล้วจะถูกนำไปโยนทิ้งกลางทะเล แต่เมื่อไปเจอกับหมอดูคนดังกล่าว ได้มีการทำนายที่ตรงข้ามกับความคิดของตัวเอง บอกว่าร่างของสามีถูกฝังอยู่ในทราย ใกล้กันมีบ่อน้ำ มีเสาปูน มีต้นไม้แห้งตาย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวหนึ่งในพยานไปสอบปากคำและชี้จุด สุดท้ายไปเจอร่างของสามีอยู่ภายในพื้นที่บ่อทรายของนายสุรัตน์ พบว่าตรงกันกับในสิ่งที่ร่างทรงหรือหมอดูคนดังกล่าวพูดถึง แต่วันนี้เมื่อตนเองย้อนกลับไปถามอีกครั้ง หมอดูกลับมองไม่เห็นอะไร
ทั้งนี้ ร่างทรงเป็นญาติของฝ่ายนายสุรัตน์ แต่เป็นคนที่ไม่ได้เอนเอียงหรือเข้าข้างใคร ถึงแม้จะนามสกุลเดียวกันกับนายสุรัตน์ แต่ก็ช่วยเหลือชาวบ้านทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อน เมื่อตนเองเป็นคนสกุลฝั่งยังอ้น แล้วเป็นฝั่งของผู้เสียหาย ร่างทรงคนดังกล่าวก็ยังดูดวงและทำนายทายทักให้ โดยในทุกครั้งที่ตนเองออกค้นหาร่างหรือเบาะแสของสามีเฉพาะทางบก ก็มักจะไปหาในสถานที่ดินทราย เพราะตนเองรู้ว่ากลุ่มคนที่ก่อเหตุ มีความชำนาญและมีประสบการณ์ มีความรู้เรื่องดินทราย ฝังร่างคนในดินทรายทำให้สามารถซับเลือดที่ไหลออกมาได้ แม้ว่าวันที่สามีถูกยิงมีเลือดไหลแล้วถูกนำร่างไปฝังในพื้นที่บ่อทราย สุดท้ายเมื่อตำรวจไปขุดหาเบาะแส แต่ก็ไม่พบร่องรอยของคราบเลือด