หลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. มีมาตรการคลายล็อกให้ร้านอาหารในพื้นที่สีแดงเข้ม เปิดให้บริการแบบนั่งทานในร้านได้โต๊ะละ 1 คน ซึ่งเริ่มไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค.64 เป็นวันแรก
ล่าสุดวันที่ 18 พ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยกับหนึ่งในผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีสาขาตั้งอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม “ข้าวแกงถนัดแดก” ของ “หม่อมถนัดแดก” หรือ “นายสหัสวรรษ ชอบชิงชัย”
นายสหัสวรรษ เปิดเผยว่า อย่างน้อยยังมีการผ่อนปรนให้กับผู้ประกอบการอย่างตนบ้าง ถือว่าดีกว่าไม่ให้นั่งทานในร้านเลย เพราะตอนที่ห้ามนั่งรายได้หายไปกว่า 80% ซึ่งพอกลับมานั่งได้ก็เห็นได้ชัดเจนรายได้ดีขึ้น จากเดิมเหลือแค่ 20% ตอนนี้ก็กลายเป็น 50% เพราะจากทั้งหมด 9 สาขา ตอนนี้ก็เปิดให้บริการแค่ 4 สาขา เดิมทีแต่ละสาขามีลูกค้าวันละ 500-600 คน ตอนนี้แค่วันละ 50 คนก็ถือว่าดีมากแล้ว
ดังนั้นถ้าพูดกันตามตรง บอกเลยว่ายังคงขาดทุน เพียงแค่ตนต้องหาวิธีทำให้ขาดทุนน้อยที่สุด และคงจำนวนพนักงานรวมไว้ ตนจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานที่ออกมาทำงานในแต่ละวัน เพราะจะไม่ให้ออกเด็ดขาด ซึ่งทุกคนก็เข้าใจและยอมรับกฎกติกาเป็นอย่างดี ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ต้องช่วยเหลือกัน รวมถึงด้านของผู้ให้เช่าร้านก็ยังดีที่บางพื้นที่มีการผ่อนผัน ยกเว้นค่าเช่าให้บางเดือน
แต่ถ้าจะถามว่าผลกระทบอื่น ๆ นอกจากรายได้ ก็คงเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจกับความต้องการของลูกค้า เพราะปกติร้านข้าวแกงถนัดแดก กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัว บางครั้งลูกค้ามากัน 4-5 คน ก็อยากจะนั่งทานร่วมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งตนและพนักงานก็ต้องมีการพูดคุยให้ทำตามมาตรการคือนั่งโต๊ะละ 1 คน แน่นอนว่าอาจจะไม่คุ้นชินกับลูกค้า แต่ทางร้านก็ต้องยึดหลักความถูกต้อง และทำให้ลุกค้าเข้าใจ
นอกจากนี้ “หม่อมถนัดแดก” ยังบอกอีกว่า หากจะขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ ก็คงจะเป็นเรื่องระบบการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เพราะเชื่อว่าหากทุกคนได้รับวัคซีนแล้วจะสามารถออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ความเสี่ยงลดลงและก็จะนำพามาซึ่งเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อย่างตนก็ได้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้คิววันที่ 20 มิ.ย.64 เพราะตนเป็นกลุ่มเสี่ยง ดังนั้นถ้าเลือกได้ตนก็อยากเลือกวัคซีนที่ดีและปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ยังให้ฝ่ายบุคคลลงทะเบียนให้กับพนักงานทุกคนเช่นกัน แต่ไม่ได้บังคับว่าทุกคนจะต้องฉีด เพียงแค่ขอความร่วมมือเพื่อส่วนรวม
อีกหนึ่งคนบันเทิงที่เปิดกิจการร้านอาหาร ก็คืออดีตนักร้องหนุ่มชื่อดัง "เตชินท์ จิรัฐชัย" ที่เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นมานานกว่า 6 ปี ชื่อร้านว่า NETA Fish&Meat (เนตะฟิชแอนด์มีท) ชั้น 4 The Street รัชดา แต่ช่วงนี้มีการผ่อนปรนกลุ่มร้านอาหาร ให้สามารถนั่งทานที่ร้านได้แล้ว
หนุ่มเตชินท์ เปิดเผยว่า ตนดีใจมากที่ได้กลับมาเปิดร้านอาหาร แม้จะมีนโยบายนั่งได้แค่ 25% ของร้านก็ตาม เพราะอย่างน้อยก็ยังมีรายได้เข้ามา ให้ลูกน้องของตนมีเงินไปกินข้าว ซึ่งตอนแรกที่ออกกฎมาว่า 1 โต๊ะนั่งได้แค่ 1 คน ตนก็แอบตกใจคิดว่าคงทำไม่ได้ แต่ล่าสุดทางภาครัฐแก้ไขว่า ครอบครัวที่มาด้วยกัน สามารถนั่งร่วมกันได้ ก็ใจชื้นขึ้น
ก่อนหน้านี้ที่ภาครัฐไม่ให้นั่งกินที่ร้าน ตนก็ตัดสินใจปิดร้านชั่วคราวไปเลย เพราะแบบเดลิเวอรี่ไปไม่รอด วันหนึ่งออร์เดอร์เข้ามาไม่ถึง 10 รายการ เพราะฉะนั้นตนก็เลยปิดทั้งหน้าร้านและออนไลน์ สำหรับมาตรการของที่ร้านหลังจากกลับมาเปิดให้นั่งทานได้ ตอนเช้าก็จะฉีดพ่นน้ำยาโควิด-19 รวมถึงทุกอย่างภายในร้านจะผ่านการฆ่าเชื้อทั้งหมด และในเมื่อทางร้านปลอดเชื้อแล้ว เมื่อลูกค้าเข้ามาภายในร้านก็ต้องล้างเจลแอลกอฮอลล์ ส่วนพนักงานในร้านของตนก็มีการตรวจเช็กสุขภาพแล้ว ไว้ใจได้ 100% แล้วก็มีการป้องกันตัวอย่างดี ใส่แมสก์ ใช้เจลแอลกอฮอล์ตลอด
ในวันนี้ (18 พ.ค.64) ตนเพิ่งเริ่มเปิดวันแรก ตนก็ขอบคุณลูกค้ามาก ๆ ที่ยอมออกจากบ้านมาทานอาหารที่ร้านตน เพราะตนก็เข้าใจสถานการณ์ ตนก็ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก แต่ที่อยู่ได้เพราะต้องอยู่ เนื่องจากตนมีลูกน้องที่ต้องดูแลหลายชีวิต ตนจึงท้อไม่ได้ ตนอยากจะบอกกับรัฐบาลว่า ขอขอบคุณที่ให้ร้านอาหารกลับมาเปิด กลุ่มร้านอาหารจะได้มีลมหายใจต่อ แต่หวังว่าหลังจากนี้ภาครัฐคงจะให้พวกตนหายใจได้เฮือกใหญ่ ๆ แล้วก็อยากวิงวอนว่าอย่าให้ปิดร้านอีกเลย พวกตนจะไม่ไหวแล้ว
สุดท้ายเรื่องวัคซีน หนุ่มเตชินท์ ระบุว่า ตนจะไปฉีดแน่นอนอย่างไม่ลังเล แล้วก็ไม่กลัว เพราะอย่างน้อยวัคซีนจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และยังช่วยในเรื่องธุรกิจด้วย หากตนฉีดลูกค้าก็เข้าร้านได้อย่างสบายใจ ตนก็อยากจะเชิญชวนให้ทุกคนฉีดเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทุกอย่างก็จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น