จากเหตุการณ์ระทึกขวัญ แรงงานไทยในอิสราเอลถูกระเบิด ในสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งมีการโจมตีโดยกลุ่มฮามัสที่โมชาฟ โอฮัด (Ohad) ในเมืองเอชโคล (Eshkol) อยู่ห่างจากฉนวนกาซ่า 14 กิโลเมตรนั้น
วันที่ 19 พ.ค. 64 บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 197 หมู่ 1 ต.หินโคน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.อรทัย กองมะเริง อายุ 21 ปี ภรรยาของนายสิขรินทร์ สงำรัมย์ อายุ 23 ปี 1 ใน 2 แรงงานไทยที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์กองทัพอิสราเอลการโจมตีทางอากาศเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 64
น.ส.อรทัย ยังทำใจไม่ได้หลังทราบข่าว โดยเฉพาะคลิปเหตุการณ์ที่ปรากฏออกมาในภายหลัง ซึ่งตรงกับในช่วงที่คุยวิดีโอคอลกับสามี เวลาประมาณ 18.00 น. พร้อมเล่าความรู้สึกว่า ตอนที่คุยกับสามีได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น
หลังจากนั้น ได้มีคนเข้ามาช่วย แล้วพาสามีเข้าหลุมบังเกอร์ ซึ่งโทรศัพท์ยังไม่ได้ตัดสัญญาณไป จากนั้นได้มีแรงงานด้วยกันใช้โทรศัพท์ของสามีแจ้งว่าสามีตนโดนระเบิด ก่อนสัญญาณโทรศัพท์จะตัดไป เพราะเข้าไปในหลุมบังเกอร์
น.ส.อรทัย บอกว่า ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ถูก อนาคตที่วาดไว้กับสามีได้พังทลายลงไปทั้งหมดแล้ว เพราะสามีเพิ่งเดินทางไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งยังต้องกักตัว ได้เริ่มทำงานเพียงไม่กี่วัน แล้วมาเกิดเหตุ สิ่งที่หนักกว่านั้นตนจะต้องแบกภาระเลี้ยงลูกชายอายุ 4 ขวบ กับลูกสาววัย 2 ขวบอีกด้วย
ด้านนางขวัญใจ สงำรัมย์ อายุ 45 ปี แม่ของนายสิขรินทร์ บอกว่า หลังจากทราบข่าวว่ามีเหตุระเบิด บริเวณที่ลูกชายทำงานอยู่ก็ตกใจ ตอนแรกคิดว่าลูกแค่บาดเจ็บ แต่มารู้อีกทีว่าลูกเสียชีวิตก็ประมาณตี 2 ก็เสียใจ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งร้องไห้ กอดกับลูกสะใภ้ เพราะลูกชายถือเป็นความหวังและเสาหลักของครอบครัว
ทั้งนี้ ลูกชายเป็นคนรักครอบครัวมาก ที่ลูกตัดสินใจไปทำงานที่อิสราเอล เพราะว่าอยากจะให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่หากรู้ก่อนล่วงหน้าว่าจะเกิดสงครามหรือมีการสู้รบกัน ก็คงไม่ให้ลูกชายไป แต่เมื่อสูญเสียลูกไปแล้วก็เหมือนขาดเสาหลัก เพราะลำพังตนเองกับลูกสะใภ้ก็มีอาชีพแค่ค้าขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ยิ่งช่วงโควิดแบบนี้ก็แทบไม่มีรายได้เลย แถมยังมีหนี้สินที่ไปกู้ยืมมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ลูกชายไปทำงานต่างประเทศ ก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย หรือส่งเสียหลาน 2 คนที่เพิ่งอายุ 2 ขวบ และ 4 ขวบ ได้เรียนสูง ๆ เพื่อจะได้มีงานทำ สามารถพึ่งพาตัวเองได้
ส่วนผู้เสียชีวิตอีกรายคือ นายวีรวัฒน์ การุณบริรักษ์ อายุ 43 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 134 หมู่ที่ 8 บ้านชัยชนะ ต.เข็กน้อย อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในนิคมเกษตรกรรม ที่อยู่ติดเขตกาซาของประเทศอิสราเอล
นางเรือนลักษ์ แซ่ลี้ อายุ 41 ปี ภรรยาของนายวีรวัฒน์ และลูกสาว 2 คน ปรึกษากันว่าจะหาทางนำศพนายวีรวัฒน์กลับประเทศไทยได้อย่างไร หลังมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานแรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์มาเยี่ยมแ ละบอกว่าการส่งศพกลับมาต้องใช้เวลาเป็นเดือน เนื่องจากยังมีการสู้รบกันอยู่
นางเรือนลักษ์ เล่าว่า นายวีรวัฒน์ สามีของตนได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล ตั้งแต่ปี 2561 สามีเล่าให้ฟังว่าบริษัทที่ทำงานอยู่นั้น เป็นงานด้านการเกษตรปลูกผัก เช่น ปลูกพริก มะเขือเทศ โดยแต่ละเดือนจะส่งเงินมาให้ทางบ้านใช้จ่าย บ้านตนเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่กันหลายคน นอกจากตนและลูกสาว 2 คน แล้วนายวีรวัฒน์ยังต้องเลื้ยงดูแม่อายุ 72 ปี และพ่ออายุ 75 ปี เป็นผู้ป่วยติดเตียง ทุกวันเมื่อว่างงานนายวีรวัฒน์จะคุยกับตนและลูกสาวทั้ง 2 คน อายุ 21 ปี และอายุ 12 ปี เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
สามีเป็นเสาหลักของบ้าน วางแผนกันไว้ว่าอยากมีเงินสร้างบ้าน ตนก็รวบรวมเงินที่สามีส่งมาสร้างบ้านจนเสร็จ และอีกหลายอย่างที่คิดกันไว้ว่าจะกลับมาทำด้วยกัน สามีบอกกับตนและลูกสาวว่าจะกลับมาบ้านในช่วงปีใหม่ ตนและลูกรู้สึกดีใจมาก เมื่อตอนเที่ยงของเมื่อวานสามีโทรมาคุยกับตนตามปกติเช่นทุกวัน ตนก็บอกสามีว่าเดี๋ยวตอนเย็นคุยกันใหม่ เพราะตนต้องไปขายลูกชิ้นทอด แต่พอช่วงเย็นก็เกิดเหตุขึ้น และเสียใจที่มีคนได้รับบาดเจ็บในเหตุกาณณ์นี้ด้วยเช่นกัน
ด้านนายอำพัน เอกทัตร แรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า เรื่องสิทธิประโยชน์ขณะนี้ติดตามได้ก็คือเรื่องค่าจ้างค่าใช้จ่ายเรื่องกองทุนคนหางานเรื่องประกันสังคม และเรื่องเงินกองทุนประกันสังคมของอิสราเอล กำลังดำเนินการให้ความช่วยเหลือ