วันที่ 29 พ.ค. 64 เวลา 10.00 น. พ.ต.ท.สมยศ ชูเกียรติศิริ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 เมืองสระบุรีว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ในห้องเช่า ชุมชนซอยวีนัส ถ.เทศบาล 2 ซอย 3 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี จึงได้รุดไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลสระบุรี และเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างสระบุรี
พบน.ส.พุฒนันท์ สดมณี อายุ 51 ปี แม่ผู้ตายกำลังนั่งดูแลลูก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เชิญตัวออกจากห้องก่อน เพื่อจะได้ทำการชันสูตรพลิกศพ พบผู้เสียชีวิตเป็นชายทราบชื่อ นายภาณุพงศ์ มณีมงคล อายุ 21 ปี สภาพนอนหงายเสียชีวิตอยู่บนเตียง ห่มผ้าห่มสีฟ้าลายการ์ตูนใบหน้าดำเกียม ดวงตาทะลักออกมาจากเบ้า
ตรวจสภาพศพผู้เสียชีวิต เป็นผู้พิการนอนติดเตียงมาแล้วร่วม 10 ปี ขาลีบทั้ง 2 ข้าง ในร่างกายยังพบบาดแผลที่ก้น เป็นแผลกดทับรูลึก ตรวจรอบที่เกิดเห ตุไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายหรือการต่อสู้ใด ๆ คาดว่าผู้ตายน่าจะทนแผลกดทับที่เป็นรูไม่ไหว เสียชีวิตมาแล้ว 4 วัน
ทีมข่าวอมรินทร์ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ ห้องเช่าในชุมชนซอยวีนัส ถ.เทศบาล 2 ซอย 3 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี หอพักดังกล่าวเป็นหอพัก 2 ชั้น ชั้นละ 5 ห้อง รวมทั้งหมด 10 ห้อง ห้องของผู้เสียชีวิตอยู่ชั้นล่างห้องที่ 2 นับจากทางซ้าย ส่วนห้องของผู้ที่ได้กลิ่นเหม็นอยู่ห้องที่ 3 จากการสังเกตพบว่า ขณะนี้เพื่อนข้างห้องได้ทำการนำธูปกำมือ 500 ดอก มาทำการจุดวางไว้ในห้องเพื่อดับกลิ่นศพของผู้เสียชีวิต
น.ส.พุฒนันท์ สดมณี อายุ 51 ปี แม่ผู้เสียชีวิต เผยว่า ลูกชายของตนที่เสียชีวิตคือ นายภาณุพงศ์ มณีมงคล อายุ 21 ปี ตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เพราะเลิกกับสามีไปตอนลูกชายอายุได้ประมาณ 2 ขวบ จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กับลูกมา 2 คนโดยตลอด ประกอบอาชีพขายของออนไลน์
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความเป็นจริงตนรู้อยู่แล้วว่าลูกชายเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยอาการอักเสบของแผลกดทับ เนื่องจากเป็นโรคหัวใจ อีกทั้งหลังผ่าตัดทำให้ลูกชายเกิดสภาวะขาลีบทั้ง 2 ข้าง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องนอนติดเตียงนานนับ 10 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนกับลูกก็ดูจะแลกันมาตลอด ไปไหนมาไหนก็หอบหิ้วไปด้วยกัน
ช่วงที่ลูกชายเสียชีวิตไปเมื่อ 3-4 วันก่อน เป็นช่วงโควิด-19 แต่ตนยังคงทำใจไม่ได้ที่ลูกชายเสียตัองมาเสียชีวิต หลังลูกรู้ลูกเสียชีวิต ก็ได้แต่เช็ดตัวให้ศพลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง เสมือนว่าลูกเพียงแค่นอนหลับธรรมดา
อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสได้พูดกับลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย ตนก็อยากจะบอกกับดวงวิญญาณของลูกชายว่าขอให้ลูกไปดี ขอให้ไปอยู่ในภูมิภพที่ดี หากชาติหน้ามีจริง ก็ขอให้กลับมาเป็นแม่ลูกกันอีก
น.ส.พุฒนันท์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2562 ตนได้เคยเป็นข่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องนอนเฝ้าศพ นายสรวุฒิ จนขึ้นอืดหนอนไชที่ จ.นครนายก นั้นยอมรับว่าตนได้นอนเฝ้าศพจนเป็นข่าวมาแล้วจริง
ซึ่งศพดังกล่าวเป็นศพของญาติเพื่อนสนิทของตน แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทางญาติไม่ได้แจ้งความ เพราะเป็นความต้องการของญาติผู้เสียชีวิตเอง ตอนนั้นตนคาดว่าเพื่อนจะฟื้นขึ้นมาจึงดูแลศพอย่างดี มีการโรยแป้งและคลุมผ้าตามปกติ มีการนั่งขอพรกับเพื่อนทุกคืน โรยปูนขาวทั่วร่าง แล้วสวดภาวนาให้ตื่นฟื้นขึ้นมา แต่ก็ไม่สำเร็จ
ส่วนเรื่องของลูกชายตนที่เสียชีวิตนั้น เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อเรื่องพระเจ้าแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม สำหรับศพของลูกชายตนนั้น ขณะนี้ได้ทำการฌาปนกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่วัดทุ่งสาริกา ต.กุดนกเปล้า อ.เมือง จ.สระบุรี
ด้านนายอำพล กาลบรรจง อายุ 29 ปี เพื่อนข้างห้องผู้เสียชีวิต เล่าว่า ก่อนพบศพตนที่อยู่ข้างห้องได้กลิ่นเหม็นเน่าออกมาจากห้องของ น.ส.พุฒนันท์ จึงได้ไปบอกเจ้าของห้องเช่าว่าจะขอเข้าไปดูภายในห้อง เพื่อหาที่มาของกลิ่นเพราะว่าสังเกตเห็นมีแมลงวันหัวเขียวจำนวนมาก พยายามที่จะเขาห้องไปในห้องของ น.ส.พุฒนันท์
ซึ่งในตอนแรก น.ส.พุฒนันท์ ไม่ยอมให้เข้าไปดู จึงได้ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ จึงยอมให้เข้าไปตรวจสอบพอเข้าไปถึงกับตกใจเห็นแมลงวันตอมศพเต็มตัวไปหมด ตนรีบแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ จากนั้นได้เข้ามาดูใกล้ ๆ เห็นสภาพศพมีแมลงวันตอมแล้วตามลำตัวซีดเขียวคล้ำ ที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยเห็น น.ส.พุฒนันท์ ออกจากห้อง เห็นอยู่กับลูกกัน 2 คนเท่านั้น
ซึ่งได้มาอยู่ที่ห้องเช่านี้ได้ประมาณ 1 ปีนาน ๆ จะออกจากห้อง เอาลูกชายออกมานั่งเล่นที่หน้าห้อง ไม่ค่อยจะพูดคุยกับใคร แต่เท่าที่ทราบนางสาวพุฒนันท์ได้เคยเป็นข่าวออกโทรทัศน์เมื่อประมาณปีที่แล้ว ในเรื่องนอนเฝ้าศพ ตนเองจำได้ว่าเป็นคนเดียวกัน ก็รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวมาก่อน
ด้านนางสุดธา ลาดใต้ อายุ 46 ปี และกลุ่มเพื่อนบ้าน กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าห้องพักทั้งหมดก็รู้สึกตกใจ เนื่องจากไม่เคยเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมาก่อน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแม่ของผู้เสียชีวิตจะไม่ค่อยได้มาสุงสิงกับเพื่อนบ้านมากนัก อีกทั้งชอบเก็บตัวอยู่ในห้องกับผู้เสียชีวิตเพียง 2 คน เพื่อนบ้านก็ไม่ได้คิดติดใจ หรือกลัวอะไรกับการที่มีผู้เสียชีวิตมาเสียชีวิตอยู่ข้างห้อง แต่แค่ไม่โอเคเรื่องกินเหม็นเน่าที่รบกวนเท่านั้น จึงอยากให้เจ้าของหอพักทำการจัดการเรื่องกินเหม็นเน่าให้เรียบร้อย
นอกจากนี้ ทราบว่าในวันพรุ่งนี้เจ้าของหอพักจะนำพระมาทำพิธีสวดมนต์ที่หอพัก เพื่อนความเป็นสิริมงคลและความสบายใจของผู้เช่าภายในหอพัก
ด้านนายสิทธิชัย สมวงศ์ เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างรัตนตรัยฯ สระบุรี ระบุว่า วันนี้ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุช่วงเวลาประมาณ 08.00 น. จากทางเจ้าของหอพักว่าให้ไปตรวจสอบบริเวณหอพักมีกลิ่นเหม็นเน่า อาจมีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ บริเวณห้องเช่า ชุมชนซอยวีนัส ถ.เทศบาล2 ซอย3 ต.ปากเพรียว อ.เมืองจ.สระบุรี
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบว่าชาวบ้านและตำรวจสายตรวจกำลังทำการเจรจาเกลี้ยกล่อมกับแม่ผู้เสียชีวิตให้ทำการเปิดประตูบ้าน ใช้เวลาอยู่ประมาณ 30 นาที แม่ผู้เสียชีวิตจึงยอมให้เขาทำการตรวจสอบภายในห้องเกิดเหตุ กระทั่งไปพบศพของนายภาณุพงศ์ มณีมงคล อายุ 21 ปี สภาพนอนหงายเสียชีวิตอยู่บนเตียง ห่มผ้าห่มสีฟ้าลายการ์ตูนใบหน้าดำเกียม ดวงตาทะลักออกมาจากเบ้า นอกจากนั้น เจ้าที่ทำการตรวจสอบรอบที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายหรือการต่อสู้ใด ๆ สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ที่ตามภูมิลำเนาของ น.ส.พุฒนันท์ ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายออกเดือน นิลขำ อายุ 56 ปี น้าชายของ น.ส.พุฒนันท์ เปิดเผยว่า น.ส.พุฒนันท์ ได้ออกจากชุมชนไปกว่า 20 ปีแล้ว ไม่ยอมติดต่อใครและย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง ตนเพิ่งจะเจอเขาครั้งล่าสุดเมื่อ 2 เดือนก่อน เขาย้อนกลับมาทำบัตรประชาชนให้ลูกชายที่อำเภอบางพลี ทั้งที่ลูกชายเขาเกิดมา 21 ปีแล้ว แต่ไม่เคยมีบัตรประชาชน
โดยน.ส.พุฒนันท์ เลิกรากับสามีตั้งแต่ลูกยังเล็ก ตนก็ไม่ทราบเหตุผลการเลิกรา แต่น.ส.พุฒนันท์ มีความเชื่อแปลก ๆ คือเขาจะนับถือพระเจ้า ตนก็ไม่รู้เป็นพระเจ้าจากลัทธิอะไร เมื่อเจ็บไข้ไม่สบาย น.ส.พุฒนันท์ ก็ไม่ยอมกินยา แต่จะนั่งสมาธิครั้งละ 3-4 ชั่วโมง เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้หายป่วย และแม้ลูกชายจะเกิดมาด้วยความพิการขาลีบ น.ส.พุฒนันท์ ผู้เป็นแม่ก็ไม่ยอมพาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่กลับให้ลูกทำสมาธิรักษา และพาลูกหนีไปโดยที่ไม่ให้ญาติยุ่งเกี่ยวกับเขา เขาคงจะเชื่อว่าลูกตายไม่นานก็คงจะฟื้นคืนชีพ อย่างที่เขาเคยทำมา
นอกจากนี้ น.ส.พุฒนันท์ ไม่เคยยอมปริปากว่าลัทธิที่เขาศรัทธาคืออะไร นอกเสียจากจะยอมไปเข้าลัทธิกับเขาเท่านั้น ถึงจะยอมบอก โดยเขารู้ว่าตนมีโรคประจำเป็นเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ก็เคยมาชวนตนเข้าลัทธิเพื่อรักษาตัว แต่มีข้อบังคับว่าจะต้องห้ามทานยาจากโรงพยาบาล และต้องกินข้าวมื้อเดียว แต่ตนไม่ยอมเข้าลัทธิกับเขาเพราะกลัวตาย
อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกตกใจที่หลานชายเสียชีวิต เพราะ น.ส.พุฒนันท์ ไม่ยอมติดต่อมา และเขาก็ไม่ยอมให้ญาติไปยุ่งเรื่องของเขา ตนทราบว่า น.ส.พุฒนันท์ เคยเปลี่ยนชื่อมาถึง 8 ครั้งแล้ว ตอนเกิดชื่อณัฐรี แต่หลังจากนั้นก็ไม่ทราบว่าเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรบ้าง เพิ่งจะทราบชื่อใหม่ของเขาตอนเป็นข่าว
นางสมใจ ราชปลากด อายุ 52 ปี เพื่อนบ้านของ น.ส.พุฒนันท์ เปิดเผยว่า น.ส.พุฒนันท์ เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับตน และโตกันมาในซอยเดียวกัน เมื่อก่อนเขาก็ดูปกติดีเป็นคนนิสัยดี แต่กระทั่งช่วงที่เขาท้องลูกคนแรก เขาก็ไปเข้าลัทธิบางอย่างที่นับถือพระเจ้า และมีความเคร่งครัดในลัทธิมาก กินแต่ผักและไม่ยอมกินเนื้อสัตว์เลย หลังจากนั้น น.ส.พุฒนันท์ ก็ย้ายออกจากซอยไปอยู่ที่อื่นกว่า 20 ปี และไม่มีใครเคยเจอเขาอีกเลย
นางสมใจ กล่าวต่อว่า ตนไม่ค่อยมีคนรู้จัดนิสัยใจคอ น.ส.พุฒนันท์ มากนัก เพราะเขาย้ายออกจากชุมชนไปหลายปี ซึ่งเมื่อทราบข่าวที่เกิดขึ้นก็รู้สึกตกใจมาก และไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่