กรณี ศบค.สั่งชะลอ มติ กทม. โดยให้ปิดสถานประกอบการ 5 ประเภทต่ออีก 14 วัน ทั้งพิพิธภัณฑ์ สถานที่สัก หรือเจาะผิวหนัง คลินิกเสริมความงาม ร้านสปา ร้านนวดเพื่อสุขภาพ และสวนสาธารณะอีกด้วย
โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (31 พ.ค.64) ช่วงเวลา 19.40 น. สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่ประชุม คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ประกาศมีมติให้ผ่อนปรนมาตรการสำหรับสถานประกอบการ 5 ประเภท ซึ่งจะให้เริ่มเปิดกิจการภายใต้มาตรการควบคุมป้องกันโรคนั้น ศบค.ให้ใช้ประกาศกรุงเทพมหานคร ขยายการปิดกิจการ และกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งหมด ตามประกาศฉบับที่ 29 ออกไปอีก 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.64 เป็นต้นไป
ล่าสุดวันที่ 1 มิ.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังซอยถนนรามบุตรี แขวงตลาดยอด เขตพระนคร ขณะที่ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจพบว่าบรรยากาศมีความเงียบเหงา ไร้ผู้คนสัญจรเข้าออก
นางสวรรณลักษณ์ หมายมั่น อายุ 50 ปี พนักงานร้านเสริมสวย กล่าวว่า ตนทำงานที่ร้านแห่งนี้มา 20 ปีแล้ว โดยทางร้านเปิดให้บริการทั้งเสริมสวย และร้านนวดสปา ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่โควิด-19 บริเวณหน้าร้านเต็มไปด้วยลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ ที่เข้ามาใช้บริการนวดสปา แต่บรรยากาศตอนนี้แตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19
ทั้งนี้ ตนมาทำงานไม่มีเงินเดือน แต่จะรับเงินเป็นเปอร์เซ็นต์แทน เช่น ถ้าลูกค้าทำผม 100 บาทตนจะได้แค่ 40 บาท เจ้าของร้านได้ 60 บาท
เมื่อก่อนนี้ลูกค้าที่เข้าร้าน 90% จะเป็นชาวต่างชาติ ส่วนคนไทยเพียง 10% เท่านั้น รายได้ในช่วงนั้นถือว่าดีแทบทุกวัน
จากเมื่อคืนนี้ที่ตนกำลังรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ เพราะจะได้กลับมาเปิดร้านวันแรกในวันนี้ (1 มิ.ย.64) แต่ก็ต้องผิดหวังหลังผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ทาง ศบค. ได้ประกาศออกมาว่าให้ปิดต่ออีก 14 วัน เพราะก่อนหน้านี้กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ เก้าอี้ สิ่งของต่าง ๆ เพื่อเตรียมเปิดไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ทางรัฐบาลเห็นใจพนักงานที่ทำงานกิจการแบบนี้ เพราะทุกวันนี้ได้รับผลกระทบ ขาดรายได้ และเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
"ฮารุ สุประกอบ" นักแสดงสาวซึ่งมีธุรกิจร้านทำเล็บ ทำผม ต่อขนตา ได้โพสต์ผ่านไอจี @harusuprakob โดยระบุข้อความว่า "ศบค. ชะลอมติ กทม. ออกไป 14 วัน เช้ามา กทม. มีมติให้ผ่อนปรนมาตรการสำหรับสถานประกอบการ 5 ประเภท พอค่ำ ศบค. ชะลอคำสั่ง
อะไรรรรรรคุณพี่ กทม. & ศบค. ไม่ปรึกษาหรือคุยกันกันก่อนประกาศเหรอ ต่างคนต่างคิดมันทำให้ประชาชนสับสน เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับการบริหาร scale ใหญ่ระดับประเทศ การสื่อสารไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ประชาชนไม่สับสนเป็นเรื่องสำคัญ ที่สำคัญไม่ควรเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับหลาย ๆ เรื่องในการชี้แจงอัปเดตข่าวทุกประเด็นในช่วงสถานการณ์ที่ประชาชนรอฟังอย่างมีความหวัง และรอฟังเพื่อให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตาม
อันนี้ขอพูดในฐานะผู้ประกอบการร้านทำเล็บ ทำผม ต่อขนตานะคะว่าทางครอบครัวเราเข้าใจประมาณหนึ่ง ขอความเห็นใจจากรัฐหน่อย เวลาจะออกมาตรการอะไรสั่งปิดสั่งเปิด สั่งลดสั่งเพิ่ม สั่งให้ไม่ให้ ปลอดภัยไม่ปลอดภัย ข้อมูลแต่ละอย่างก่อนเผยแพร่ ฝากประชุมกันก่อนคุยกันก่อน ตัดสินใจร่วมกันก่อนทุกภาคส่วนแล้วส่งตัวแทนออกมาบอกประชาชน พวกเราจะได้ไม่งง ว่าจะเชื่อข้อมูลไหน อันไหนข่าวจริง อันไหนข่าวล่าของล่าสุด อันนี้พูดในฐานะประชาชน พิมพ์ด้วยความหวังดีไม่เกี่ยวกับการเมืองแบ่งพรรคแบ่งพวก อันนี้เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ความอยู่รอด ความปลอดภัย ความร่วมมือในทิศทางเดียวกันแบบทีมเวิร์คสำคัญกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว ขอระบายยาวหน่อย แต่สู้มาก ๆ ค่ะ เราต้องรอดไปให้ได้ ทุลักทุเลหน่อยช่วงนี้ แต่พยายามมองในแง่ดีเข้าไว้ เดี๋ยวมันจะดีขึ้นแล้วเราจะแกร่งขึ้น"
แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม ก็ได้โพสต์ผ่านไอจี @tack_pharunyoo ว่า "ขอโทษนะเช้าบอกอีกอย่าง ดึกมาบอกอีกอย่าง เล่นอะไรกันอยู่ครับ คนเตรียมการปรับตัวแทบไม่ทันเลย #เบรกหัวทิ่มเลย #สุดยอดตบมือตบตีนสิรออะไร #งงในงง #เวลาคุยงานคุยทิพย์กันเหรอ #ประกาศตอน 1 ทุ่มใครจะเตรียมตัวทัน #หน่วยงานไม่ถูกกันเหรอหรือไง"
ด้าน "แอปเปิ้ล สีสะเหงียน" ภรรยาชาวลาวของหนุ่มฟลุค จิระ ก็ได้โพสต์ผ่านไอจี @appleminiberry ว่า "เมื่อบ่าย 3 ทุกคนมีความหวังตั้งใจกันมาก พูดถึงจะทาลิปสีไหนมาทำงาน จะใส่เสื้อตัวไหนกัน ตกค่ำเราต้องปิดนะทุกคน บอกตรง ๆ รอบนี้จุกจริง ๆ ไม่รู้จะพูดยังไงกับพนักงานและลูกค้าเลย เหมือนหน้าชาไปเลย สู้หน้าใครไม่ได้เลย พี่ ๆ ขอโทษจริง ๆ ที่เปิดคลินิกให้น้อง ๆ มาทำงานไม่ได้ และกราบขอโทษลูกค้าที่จองคิวจนเต็มทุกห้องทุกสาขา เราคิดว่าเราจะได้เปิดจริง ๆ แต่มันไม่จริง เปิด ปิด ไม่ใช่ประเด็น เพราะตอนแรกคิดอยู่ว่าไม่น่าจะได้เปิดด้วยซ้ำ เพราะดูจากตัวเลขผู้ติดเชื้อ แต่พอเหมือนจะได้เปิดแล้วมาปิด มันก็คือเสียใจผิดหวัง เสียกำลังใจมาก ๆ แค่นั้นจริง ๆ"
เป็นงงกันทั้งประเทศ หลังจากที่ทาง กทม. ออกประกาศผ่อนปรนกิจการ 5 ประเภทให้กลับมาเปิดบริการตามปกติได้แล้วในวันที่ 1 มิ.ย.64 แต่หลังจากประกาศออกไปไม่ถึงครึ่งวัน ทาง ศบค. ก็ออกมาสั่งยกเลิกประกาศดังกล่าวของ กทม. โดยขอขยายเวลาการปิดสถานประกอบการทั้ง 5 ประเภทต่อออกไปอีก 14 วัน
ทำเอาผู้ประกอบกิจการทั้ง 5 ประเภท ออกมาระบายความในใจผ่านทางโซเชียลมีเดียกันแบบรัว ๆ หนึ่งในนั้นก็คือนักแสดงหนุ่ม "ฟลุค จิระ" เพราะเจ้าตัวมีธุรกิจส่วนตัวเป็นคลินิกเสริมความงามชื่อว่า CENTRAL CLINIC
โดยหนุ่มฟลุค ได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า “กราบขออภัยคุณลูกค้าเป็นอย่างสูง รัฐบาลเบรกแรงมาก สั่งปิดต่อนะคะ พรุ่งนี้เราไม่ได้เปิด” พร้อมเขียนแคปชั่นกำกับว่า “ขอโทษคุณลูกค้าอย่างสูงนะครับ เราต้องปิดต่อ ขอบคุณที่เข้าใจกันครับ”
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับหนุ่มฟลุค ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าตัวก็ยอมรับว่า เสียความรู้สึกมาก เพราะตั้งความหวังไว้แล้วว่าจะกลับมามีรายได้อีกครั้ง หลังจากต้องมีรายจ่ายอย่างเดียวไม่มีรายรับ ตอนแรกที่ประกาศออกมายังไม่เชื่อ เพราะเห็นสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น แต่พออ่านดี ๆ ก็มีเหตุผลที่บอกชัดเจน ตนจึงเตรียมเปิดร้านทันที แล้วก็เรียกพนักงานกลับมา บางคนก็อยู่ต่างจังหวัด เขาก็รีบเดินทางมากรุงเทพฯ เรียกว่าเตรียมตัวทุกอย่างพร้อม มารู้อีกทีเวลา 21.00 น. ว่ายังให้ปิดต่อไปอีก 14 วัน ทำให้ตนรู้สึกเซ็งมาก ๆ
นอกจากนี้ที่ทำให้ตนเซ็งคูณสองเข้าไปอีก คือ เมื่อตนประกาศออกไปว่าคลินิกจะกลับมาเปิดแล้ว ปรากฏว่าลูกค้าจองเข้ามาใช้บริการเต็มทั้ง 2 สาขา คือ เอสพลานาด และสยามสแควร์วัน ทำเอาพนักงานทุกคนครึกครื้นกันมากที่จะได้กลับมาทำงาน แต่เมื่อเจอประกาศสั่งปิดต่ออีก 14 วันแบบนี้ ถึงกับผิดหวังกันหมด
"เดี๋ยวบอกเปิดเดี๋ยวบอกปิด ความรู้สึกของคนที่เขาทำมาหากินคือแย่มาก และตอนนี้ผมไม่สามารถเชื่อถือรัฐบาลได้อีกต่อไปแล้ว อย่างที่บอกว่าให้เปิดได้วันที่ 15 มิ.ย.64 ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะจริงไหม จึงไม่กล้าทำอะไรแล้ว กลัวมาสั่งปิดอีก" หนุ่มฟลุค กล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม ตนได้เตรียมพร้อมการเปิดคลินิกมาก่อนหน้านี้สักระยะแล้ว ด้วยการพาพนักงานทั้งหมด 30 กว่าคนไปฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยวันที่ 3 มิ.ย.64 ก็จะได้ฉีดกันครบ 2 เข็ม เพื่อให้ลูกค้าสบายใจเวลาเข้าร้านนพนักงานจะไม่มีการแพร่เชื้ออย่างแน่นอน ส่วนค่าเช่า 2 สาขา, พนักงานอีก 30 คน และค่ายาต่าง ๆ เดือนหนึ่งประมาณ 5 ล้านบาท แต่รายรับขณะนี้คือ 0 บาท เพราะคลินิกถูกสั่งปิด
ส่วนรายได้ก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท แต่การกลับมาเปิดอีกครั้งตนไม่ได้หวังว่าจะกลับไปเฟื่องฟูเหมือนเดิม ขอแค่ประมาณ 50% จากปกติ ก็คือประมาณ 5 ล้านบาท ให้ตนไม่ต้องเข้าเนื้อก็ดีใจแล้ว แต่จากเหตุการณ์ล่าสุดก็ทำให้รู้ว่าลูกค้าพร้อมกลับมาใช้บริการจำนวนมาก ช่วงนี้พนักงานไม่มีรายได้เลย ซึ่งตนก็ไม่มีเงินจะจ่ายให้แบบฟรี ๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำงาน ก็เลยได้แต่ช่วยส่งข้าวสารอาหารแห้งไปให้ และได้ออกเงินกู้แบบไม่คิดดอกเบี้ย โดยให้ชำระคืนภายใน 1 ปี
