กรณีนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 44 ปี ถูกออกหมายจับ 3 ข้อหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 บนเขาภูเหล็กไฟ หลังจากนั้นทนายตั้ม ได้พาลุงพลเข้ามามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถูกคุมตัวไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน ก่อนจะส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 3 มิ.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี น้องชมพู่หายตัวที่หน้าบ้าน หมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ในวันที่ 11 พ.ค.63 เวลา 09.11 - 09.49 น. โดยมีพี่สาว เป็นพยานพบเห็นชมพู่ครั้งสุดท้าย
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี เส้นทางบ้านน้องชมพู่ - จุดพบศพ สามารถเดินเท้าขึ้นไปได้ทั้งหมด 5 เส้นทาง โดยหนึ่งในเส้นทางดังกล่าวนั้น ในวันที่ 11 พ.ค.63 มีพ่อแบมและนางอาด พบเห็นนายไชย์พล เวลา 9 โมงเศษ ๆ ที่บริเวณสวนยางพาราท้ายหมู่บ้าน
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี นายไชย์พล กับการสร้างพยานและข้อพิรุธ ในวันที่ 11 พ.ค.63 เวลา 10.07 น. ที่วัดภูผาแอก ขณะนั้นนายไชย์พล บอกกับพระอธิการบุญมาว่า "น้องชมพู่หายตัวไป" แต่ข้อเท็จจริงยังไม่มีใครแจ้งว่าน้องชมพู่หายตัวไปให้นายไชย์พล ได้ทราบ
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี น้องชมพู่ถูกอุ้มไปโดยคนที่ไว้ใจ โดยเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า 10 บุคคลที่เข้าถึงน้องชมพู่ได้ และอุ้มเด็กโดยที่ไม่ร้องไห้หรือขัดขืน ซึ่งในห้วงเวลาเด็กหายตัวไป เกือบทุกคนสามารถยืนยันที่อยู่ได้อย่างชัดเจน
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี นายไชย์พลกับช่วงเวลาไร้พยาน วันที่ 11 พ.ค.63 เวลา 14.30 - 16.00 น. นายไชย์พล ไม่สามารถยืนยันที่อยู่ของตัวเองและของพยานได้ชัดเจน แต่มีข้อเท็จริงว่า 2 คน ได้แก่ นางส้มโอ และนางปิ่น ที่เห็นนายไชย์พล เดินลงจากเขาภูเหล็กไฟ ลักษณะท่าทางลุกลี้ลุกลน เหนื่อยหอบ และมีพิรุธ ด้วยระยะที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันจึงตะโกนทักทาย แต่นายไชย์พล ไม่ตอบกลับ
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี หลักฐานจากศพ ผลชันสูตร รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สันนิษฐานเวลาเสียชีวิต ระหว่างวันที่ 12 พ.ค.63 เวลา 14.30 น. จนถึงวันที่ 13 พ.ค.63 เวลา 14.30 น. โดยเด็กยังมีชีวิตขณะที่อยู่ท้ายหมู่บ้านทางขึ้นเขาภูเหล็กไฟ แต่เมื่อเคลื่อนย้ายไปบนภูเขา และถูกทิ้งจนเสียชีวิต
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี หลักฐานจากศพ ผลตรวจจากนักโภชนาการ ระบุว่า "สภาพร่างกายน้องชมพู่ หากขาดน้ำในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง ย่อมถึงแก่ความตายได้ โดยไม่ต้องทำร้ายร่างกาย"
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี หลักฐานจากศพ พบเส้นผมน้องชมพู่ถูกหั่นหลายเส้น DNA ไปตรงกับเส้นขนที่พบในรถกระบะของนายไชย์พล ส่วนเส้นขน 3 เส้น DNA ไปตรงกับหญิงรายหนึ่ง ซึ่งนายไชย์พล มีความใกล้ชิด
ประมวลพฤติการณ์แห่งคดี ข้อพิรุธนายไชย์พล กับการสอบสวน 1.ให้การกลับไปกลับมา และไม่ตรงกับพยานคนอื่น นอกจากนี้ยังเคยข่มขู่พยาน (พ่อแบม, พระอธิการบุญมา) ให้กลับคำเรื่องไทม์ไลน์ 2.การเข้าเครื่องจับเท็จ พบว่ามีพิรุธในการตอบชุดคำถาม
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางกลับไปพบกับนายธนกฤต หลาบโพธิ์ ชาวบ้านบ้านขัวสูง ในฐานะบุคคลที่เคยยืนยันว่าจะเป็นพยานให้นายไชย์พล หลังถูกออกหมายจับ เปิดเผยว่า แม้ว่าลุงพลจะถูกออกหมายจับ ตนก็ยังยืนยันคำเดิม เคยพูดเอาไว้อย่างไรก็ยังยืนยันเอาไว้อย่างนั้น เพราะตนเชื่อว่าลุงพลเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่ เขารักหลานและรักเด็ก
แต่การออกหมายจับก็ยังไม่เรียกว่าเป็นที่สิ้นสุดของคดี หรือจะยืนยันว่าลุงพลคือคนร้าย เพราะสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับกระบวนการในชั้นศาล จะเป็นคนบอกว่าลุงพลผิดหรือไม่ผิด ตนเชื่อในกระบวนการของพนักงานสอบสวนเพียง 5-10% ฉะนั้นหากจะให้ตนเชื่อในกระบวนการชั้นพนักงานสอบสวน ตำรวจต้องมีความรวดเร็วแม่นยำ หรือออกหมายจับนานแล้ว คงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน เพราะตนจำได้ว่าพนักงานสอบสวนมีข้อมูลเกี่ยวกับขน 3 เส้น เส้นผมของน้องชมพู่ที่ถูกตัด 36 เส้น กางเกงและรองเท้า ดังนั้นหากมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงถึงตัวลุงพล คงออกหมายจับไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้
ส่วนกรณีที่ตำรวจได้นำเส้นผมของน้องชมพู่ 36 เส้นไปตรวจสอบ และเชื่อมโยงเกี่ยวกับเส้นผมที่เจอในรถของลุงพล ตนรู้ว่าตำรวจนำเส้นผมของน้องชมพู่ไปตรวจเทียบเคียงกับเส้นผมที่เจอในรถของลุงพล เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโดยปกติลุงพลกับน้องชมพู่ มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้งแต่หากตำรวจจะนำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการออกหมายจับ ก็ควรจะออกหมายจับไปนานแล้วหรือไม่ ไม่ใช่เพิ่งจะนำมาเชื่อมโยงในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจยังอ้างถึงพยานกลุ่มคนที่เห็นลุงพล บริเวณตีนเขาภูเหล็กไฟ และพบเห็นลุงพลบนเขา เรื่องนี้ตนขอไม่แสดงความคิดเห็น เพราะเป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสอบพยาน ดังนั้นคนที่จะคลายความสงสัยให้กระจ่าง คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า กลุ่มคนเหล่านั้นพบเห็นลุงพลจุดไหน และการที่พยานหนึ่งในนั้นคือพ่อแบม ออกมาชี้ชัดว่า บุคคลที่อยู่ใกล้กับกอไผ่ปริศนาคือลุงพล ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับวิถีชีวิตชาวบ้าน ลุงพลอาจจะกรีดยางอยู่ในละแวกนั้นแล้วไปที่กอไผ่เพื่อหาหน่อไม้หรือของป่าก็มีความเป็นไปได้
ในวันนี้ตนเตรียมจะเดินทางไปที่ สภ.กกตูม เพื่อไปเยี่ยมและให้กำลังใจลุงพล ในฐานะที่ป้าแต๋น เป็นลูกพี่ลูกน้องของตนเอง จึงอยากจะให้ลุงพลสู้ หากไม่ใช่ความจริงก็พิสูจน์ตัวเอง แต่หากลุงพลเป็นผู้กระทำผิด หรือเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่เอง ลุงพลก็ควรที่จะรู้อยู่แก่ใจ ที่สำคัญตนก็จะไม่ให้อภัยลุงพลอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในการให้สัมภาษณ์แต่ละครั้ง ตนมักจะมีความสับสนระหว่างที่จะอยู่ข้างลุงพล หรือเลือกที่จะอยู่ตรงกลาง เพราะว่าหลายครั้งตนสับสนการให้สัมภาษณ์ของลุงพล ทั้งเรื่องไทม์ไลน์ที่ไม่ตรงกับที่ตาชาญหรือป้าถอน อีกทั้งตนก็ยังสงสัยเกี่ยวกับการไปโผล่หรือปรากฏตัวที่บริเวณกอไผ่ ดังนั้นหากลุงคนเคลียร์ประเด็นความสงสัยตรงนี้ได้ ตนก็จะคลายความกังวล และจะยืนอยู่เคียงข้างอย่างมั่นใจ 100% แต่ตอนนี้ที่ยังมีบางส่วนไม่เชื่ออย่างเต็ม 100% เพราะติดอยู่ที่ว่ามีบางอย่างที่ตนรู้ไม่หมด
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้มาพูดคุยกับนายนรินทร์ หลาบโพธิ์ หรือ น้าแต น้าของน้องชมพู่ ให้สัมภาษณ์ว่า ภายหลังจากที่ลุงพลถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ตนและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นตาชาญ ยายสมควร หรือน้าฝน ได้เกิดคำถามว่า ถ้าคนร้ายเป็นลุงพลจริง ลุงพลเขาทำไปเพื่ออะไร ทุกคนอยากรู้ว่าทำไมลุงพลต้องทำกับหลาน น้องชมพู่เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ช่างพูด ทุกคนรักและเอ็นดูชมพู่ จึงอยากรู้คำตอบว่าลุงพลทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร ครอบครัวตนจะรอฟังคำตอบจนกว่าศาลจะตัดสิน
ส่วนช่วงเช้าของวันนี้ ตน ตาชาญ ยายสมควร และน้าฝน ได้เดินทางไปที่ สภ.กกตูม เพื่อพาตาชาญ ยายสมควร ไปหาป้าแต๋น เพื่อให้กำลังใจ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็เป็นเครือญาติ เป็นพี่น้องกัน ตนคิดว่าในส่วนคดีก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งในอนาคตครอบครัวป้าแต๋น อาจต้องต่อสู้คดี แต่อยากให้รู้ว่ามีพี่น้องอยู่ข้างหลัง
ลุงพล อัดคลิปจากในบ้าน เผยถึง หมายจับคดีน้องชมพู่ ก่อน ตร.บุกรวบเมื่อเช้า แต่เจ้าตัว หนี?
ป้าแต๋น ตัดพ้อมรสุมข่าว นิยามตัวเองเป็น "คนดีสีเทา" ก่อนตกดึกช็อกหมายจับ ลุงพล
ผบ.ตร.เผยดึงผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์-ไสยศาสตร์ คลี่คลาย คดีน้องชมพู่