กรณีนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 44 ปี ถูกออกหมายจับ 3 ข้อหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 บนเขาภูเหล็กไฟ หลังจากนั้นทนายตั้ม ได้พาลุงพลเข้ามามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถูกคุมตัวไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน ก่อนจะส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 3 มิ.ย.64 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความนายไชย์พล วิภา เดินทางมาที่ สภ.กกตูม ให้สัมภาษณ์ว่า ตนขอโทษนักข่าวก่อนเลยที่ให้รอนาน เพราะตื่นสาย ส่วนตัววางแนวทางการสู้คดีไว้แล้ว เป็นการวางแผนไว้ก่อนจะออกมาจับว่าจะดำเนินการอย่างไร ตนขอให้ตำรวจทำการบ้านเตรียมตอบคำถามของตน เช่น เรื่องดีเอ็นเอ ตำรวจให้ข่าวว่ามีดีเอ็นเอมัดตัวผู้ต้องหา ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นดีเอ็นเอของลุงพลหรือไม่ ต่อมาให้ข่าวว่าดีเอ็นเอนั้นเกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดลุงพล แบบนี้ตำรวจต้องตอบให้ได้ว่าใช้วิธีไหนตรวจเพื่อระบุตัวตน และน่าเชื่อถือมากแค่ไหน
ทั้งนี้ ตนมองว่าการดำเนินคดีนั้นใช้การคาดการณ์ไม่ได้ แต่ตำรวจต้องมีพยานหลักฐาน อย่างข้อหาแต่ละข้อที่ลุงพลโดนนั้น 1.เรื่องพรากผู้เยาว์ ตนขอถามมีใครเห็นว่าลุงพลพรากไปบ้าง 2.ซ่อนเร้นทำลายศพ มีใครเห็นลุงพลไปซ่อน ซ่อนแบบพื้นที่โล่งเช่นนั้น แต่ข้อกฎหมายเคลื่อนย้ายตนเข้าใจ แต่ก็ต้องถามต่อว่า มีใครเห็นว่าลุงพลเคลื่อนย้ายศพบ้าง จึงเป็นโจทย์ที่ตำรวจต้องหาหลักฐานให้ดีกว่านี้หรือไม่ ตนอยากบอกไปถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่ตนพาลูกความไปมอบตัว แล้วตำรวจพูดว่าต้องไปที่โรงพักท้องที่ ตนอยากถามว่าหมายจับมีผลบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักร ตำรวจเจอที่ไหนมีอำนวจจับทุกคน ไม่ต้องเป็นเจ้าของคดี หมายจับออกเชียงใหม่ หมายจับออกภาคใต้ ขอให้ไปโรงพักไหนก็ได้ เขาก็รับมอบตัวได้ เพราะตำรวจเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจจับกุมตามกฎหมาย อีกอย่างผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนังงานสอบสวนทั่วประเทศ อย่าลืมจุดนี้ที่ท่านจะอ้างว่าไม่มีอำนาจรับ ตนมองว่าตลก แบบนี้สังคมเข้าใจผิด
นอกจากนี้ เวลาสืบสวนสอบสวนเข้าใจว่าต้องหาคนกระทำความผิด แต่สิ่งหนึ่งตนมองว่าการหาผู้กระทำความผิด ไม่ใช่มุ่งว่าใครผิดและหาหลักฐานเอาผิดคนนั้นให้ได้ เวลาขึ้นศาลหลักฐานต้องยืนยันแล้วมั่นคง ตนบอกได้เลยว่า “ออกหมายจับแล้ว ไม่ใช่ว่าจะชนะ” เพราะตนมองว่าการออกหมายจับคือการเริ่มต้น ไม่ใช่ว่ายุคพล.ต.อ.สุวัฒน์ จะปิดคดีนี้ได้ หากวันหนึ่งลุงพลผิดตนจะยกย่อง ผบ.ตร. ว่าสุดยอด
ส่วนการประกันตัว ตนยังยืนยันว่าลุงพลไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีตามที่ตำรวจระบุในสำนวน ลุงพลมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ลุงพลมีกี่คดี หรือมีคดีไหนก็ไม่ไปพบพนักงานสอบสวน ไม่มีพฤติการณ์ไปยุ่งกับพยาน ตนจึงต้องขอความเมตตาต่อศาลในการประกันตัว แต่สิ่งที่กังวลไม่ใช่เรื่องนี้ ตนมองว่าคดีนี้โทษสูง ทำให้อาจเป็นข้ออ้างของศาลได้ในการไม่ให้ประกันตัว อีกอย่างคดีนี้มีคนคัดค้านประกันด้วย ซึ่งย่อมมีผลกับการพิจารณา แต่ต้องดูว่ามีข้ออ้างอะไรในการยื่นคัดค้าน หากไม่ได้ประกันก็จะอุทธรณ์ต่อ
คดีนี้ไม่ได้ยาก ตนมองว่าคดีเป็นกระแส เพราะสื่อมวลชนให้ความสนใจ ตนไม่อยากพูดมากเดี๋ยวหาว่าเป็นการดูถูก แต่ตนมั่นใจ ส่วนความผิดจะเกี่ยวข้องกับป้าแต๋นหรือไม่ ตนสอบถามแล้วมีพยานยืนยันได้ชัดเจนไม่น่าจะเกี่ยว ที่จะผิดก็คงเป็นเส้นผมของป้าแต๋นแทน ตนจึงตั้งข้อสงสัยว่าตำรวจใช้วิธีไหนตรวจดีเอ็นเอ
เวลา 13.40 น. หลังจากทนายษิทรา เข้าเยี่ยมลุงพล และเข้าพบพนักงานสอบสวน ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นวันนี้ตนได้ยื่นประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน แต่ตำรวจไม่อนุญาต หลังจากนี้จะไปยื่นต่อศาลในวันพรุ่งนี้ (4 มิ.ย.64) ส่วนเรื่องการยื่นคำร้องต่อกรรมธิการด้านกฎหมาย ตอนนี้นัดหมายแล้วจะไปในวันที่ 8 มิ.ย.64 โดยจะไปยื่นให้ตรวจสอบความไม่ถูกต้องของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการจับลุงพล, การเข้ามอบตัว และการออกหมายจับ เพราะลุงพลมีเจตนามอบตัว แต่ตำรวจจะระบุในสำนวนว่าเป็นการเข้าจับกุมตัวหรือไม่ ตนไม่สนใจ แต่ตนจะยื่นตรวจสอบในเรื่องนี้
นอกจากนี้ ตนจะนำเรื่องการออกหมายจับทำให้เป็นกรณีศึกษาครั้งแรกของไทย เกี่ยวกับอำนาจของผู้พิพากษา ซึ่งเคยมีการพยายามทำเรื่องนี้แล้ว โดยปกติศาลชั้นต้นเคยมีอำนาจขอออกหมายจับ ซึ่งยื่นอุทธรณ์ไม่ได้ เรื่องนี้หากมีการแก้ไขได้จะเกิดการตรวจสอบ ตนจะทำคดีนี้ให้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
ด้านนางสมพร หลาบโพธิ์ ได้ออกจากห้องพนักงานสอบสวน ก่อนจะให้ข้อมูลสั้น ๆ ว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรมาก ลุงพลกินข้าวได้ มื้อเที่ยงกินกล้วยหอม ช่วงเย็นตนก็จะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง กำลังใจตอนนี้ยังดี แต่ทนายขอให้ตนงดสัมภาษณ์ในช่วงนี้ไปก่อน
กระทั่งเวลา 16.00 น. ป้าแต๋น และครอบครัว ญาติฝ่ายลุงพล เดินทางมาเยี่ยมอีกครั้ง โดยมีการเตรียมถุงเสื้อผ้า และอาหารมื้อเย็นมาให้กับลุงพล หลังการเยี่ยมครบ 1 ชั่วโมง ป้าแต๋นกลับออกมาพร้อมพี่สาวลุงพล ก่อนจะตอบคำถามสื่อที่ถามว่าลุงพลเป็นอย่างไรบ้าง ว่า “ดีคะ” จากนั้นจึงเดินทางกลับทันที
จากนั้นเวลา 18.00 น. ทนายษิทรา ได้เดินทางกลับมาที่ สภ.กกตูม อีกครั้ง ซึ่งมาพร้อมกับเอกสารใบแต่งตั้งทนาย และเอกสารขอประกันตัว โดยใช้เวลาราว 5 นาที ก็ออกมาจากห้องควบคุม ทนายตั้ม เปิดเผยว่า วันนี้ได้ทำใบแต่งตั้งทนาย พร้อมกับเอกสารประกันตัวมาให้ลุงพลลงชื่อ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ (4 มิ.ย.64) ตนเตรียมโฉนดที่ดินและเงินสดไว้ทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจของศาล เบื้องต้นไม่อยากบอกว่ามีโอกาสมากน้อยเพียงแค่ไหน รอดูความเมตตาของศาล
ส่วนการขอประกันมีความกังวลเพียงเรื่องโทษของคดีลุงพลที่ค่อนข้างสูง ขณะที่เรื่องอื่น ๆ ทั้งเรื่องหลบหนี ยุ่งเยิงพยาน ตนไม่กังวล ลุงพลให้ความร่วมมือมาโดยตลอด นอกจากนี้ เรื่องกระแสวิจารณ์ผลดีเอ็นเอ ตนได้สอบถามไปยังผู้มีความรู้ การตรวจดีเอ็นเอมีด้วยกัน 2 แบบ คือ นิวเคลียสดีเอ็นเอ และไมโตคอนเดรียดีเอ็นเอ ซึ่งการตรวจแบบแรกจะใช้ตรวจดีเอ็นเอยืนยันบุคคล เช่น ตรวจจากน้ำลาย เลือด เส้นผมที่มีราก
แต่กรณีคดีของลุงพล คือ การตรวจแบบไมโตคอนเดรียดีเอ็นเอ เป็นการตรวจจากเส้นผมที่ไม่มีราก และไม่สามารถยืนยันเจาะจงไปที่ตัวบุคคลได้ ซึ่งเป็นแบบนี้ทั่วโลก ดังนั้นไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วตำรวจบอกไม่หมดหรือไม่ ดังนั้นหากตำรวจตรวจแล้วยืนยันเส้นผมที่ถูกตัดว่าเป็นดีเอ็นเอของน้องชมพู่จริง ตนก็อยากรู้ว่าตรวจได้อย่างไร ตนจะถามนักวิทย์ที่มายืนยันในศาล ใครจะกล้ายืนยันว่าเส้นผมที่ถูกตัดเป็นของชมพู่จริง ๆ
หรืออีกแบบหนึ่ง ซึ่งหาดูได้ในภาพยนตร์ทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐ จะใช้การตรวจเส้นผมที่ถูกตัด นำมาเทียบด้วยตาเปล่ากับแว่นขยาย เพราะในอดีตไม่มีเทคโนโลยีการตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งเมื่อมีเทคโนโลยีดีเอ็นเอเข้ามา ปรากฏว่าพบผู้บริสุทธิ์ตกเป็นผู้ต้องหาจำนวนมาก ตนจึงอยากรู้ว่าตำรวจเอาอะไรมาวัดว่าเส้นผมที่เจอในรถยืนยันว่าเป็นของชมพู่ มีโอกาสเป็นของลูกป้าแต๋นก็ได้ เพราะถือเป็นสายแม่ ทั้งหมดที่ตนพูดมาคือแนวทางการต่อสู้คดีของตน และตนยืนยันไม่ได้ต้องการพูดทำให้ตำรวจดูไม่น่าเชื่อถือ ตนเพียงต้องการพิสูจน์ตามข้อเท็จจริง ทุกอย่างคือวิทยาศาสตร์ ตนเปิดหน้าสู้ทุกอย่าง มั่นใจลุงพลไม่ผิด ตนไม่เอาชื่อเสียงมาแลก ตนไม่ได้เงินจากคดีนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ถูกต้องตนจึงจำเป็นต้องพูด
นางลัดดาวัลย์ ทับเจริญ หรือ ป้าจิ๋ง ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นผู้ทำอาหารให้กับผู้ต้องหาที่โรงพัก กล่าวว่า ตนยืนยันไม่เลือกข้าง ส่วนสามีของตนก็เป็นอดีตตำรวจที่ สภ.กกตูม ตนนำข้าวมาส่งให้ผู้ต้องขังแบบนี้ทุกวัน ทำมาประมาณ 30 ปีแล้ว แต่ปรากฏว่าสื่อบางสำนัก ได้นำเสนอข่าวของตนออกไปว่าตนเป็นแฟนคลับของผู้ต้องหา ทำกับข้าวและคอยส่งอาหารให้เป็นอย่างดี ทำให้ตนถูกสังคมภายนอกตำหนิ และถูกโซเชียลฯ รุมด่าทอต่าง ๆ นานา ตนรู้สึกว่าตนได้รับความเสียหาย จึงจะมาแจ้งความเอาไว้ ส่วนวันนี้ตนได้เจอลุงพลสีหน้าก็ดูปกติดี แต่ไม่ได้เข้าไปใกล้ ขณะนั้นป้าแต๋นก็อยู่ด้วย ยังได้กล่าวทักทายกันตามประสาชาวบ้านที่ได้พบหน้ากัน
ทั้งนี้ เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ป้าแต๋น ได้นั่งไลฟ์สดเพื่อรอเวลาเที่ยงในการเข้าเยี่ยมลุงพลรอบที่ 2 อีกทั้งต้องรอทนายความ โดยมีกลุ่มยูทูเบอร์รายล้อม สีหน้าแจ่มใส่ หัวเราะ ไม่ได้มีอาการเครียดแต่อย่างใด แม้จะมีชาวเน็ตบางรายเข้ามาสอบอย่างรุนแรงว่า "ลุงพลกินข้าวแดงหรือยัง"
เวลา 19.30 น. ลุงพล ได้ร้องเพลงสิ่งเดียวที่อ้ายขอ ดังออกมาจากห้องขัง มีบางช่วงเสียงเหมือนร้องไห้ ซึ่งเหล่ายูทูเบอร์บางคนที่ปักหลักรอ ก็ร้องไห้ออกมา เมื่อลุงพลร้องเพลงจบ แฟนคลับก็ร้องตะโกนให้กำลังใจลุงพลว่า "สู้สู้" นอกจากนี้ลุงพล ยังร้องเพลง ความจริงในใจ ถึง 2 รอบ มีเนื้อหาว่า ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผิด
ลุงพล อัดคลิปจากในบ้าน เผยถึง หมายจับคดีน้องชมพู่ ก่อน ตร.บุกรวบเมื่อเช้า แต่เจ้าตัว หนี?
ป้าแต๋น ตัดพ้อมรสุมข่าว นิยามตัวเองเป็น "คนดีสีเทา" ก่อนตกดึกช็อกหมายจับ ลุงพล
ผบ.ตร.เผยดึงผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์-ไสยศาสตร์ คลี่คลาย คดีน้องชมพู่