กรณีนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล อายุ 44 ปี ถูกออกหมายจับ 3 ข้อหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 บนเขาภูเหล็กไฟ หลังจากนั้นทนายตั้ม ได้พาลุงพลเข้ามามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถูกคุมตัวไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน ก่อนจะส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม ซึ่งศาลอนุญาตให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 180,000 บาท ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 4 มิ.ย.64 ทีมข่าวได้พูดคุยกับ ตาชาญ หลาบโพธิ์ ตาของน้องชมพู่ ในฐานะพ่อของป้าแต๋น เปิดเผยว่า ตนทราบข่าวแล้วว่าลุงพลได้รับการประกันตัว ส่วนตัวก็ดีใจที่ศาลให้ความเป็นธรรม และอนุญาตให้มีการประกันตัวได้ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการของศาล ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่มากน้อยเพียงใด แต่ส่วนตัวยืนยันคำเดิมว่าคนในครอบครัวไม่มีใครทำร้ายน้องชมพู่ หรือแม้แต่ลุงพลก็ไม่ใช่คนที่จะทำน้องชมพู่
ส่วนที่มีหมายจับก็ต้องพิสูจน์กันต่อไปว่าจริงเท็จแค่ไหน โดยในวันพรุ่งนี้ (4 มิ.ย.64) ตนเตรียมที่จะทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือให้ลุงพลกับป้าแต๋น เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากเจอเรื่องราวร้าย ๆ แต่ก็เป็นพิธีภายในครอบครัวไม่ได้จัดยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม คนร้ายตัวจริงหรือคนที่ทำกับน้องชมพู่จะเป็นใคร ตนขอปฏิเสธที่จะตอบหรือแสดงความคิดเห็น ปล่อยให้เป็นไปตามหน้าที่ของตำรวจ
กรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ เตรียมที่จะมีการเอาผิดป้าแต๋น ในข้อหาพานายไชย์พล หลบหนี ในวันดังกล่าวรู้ว่ามีการออกหมายจับ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนบอกว่าจะเข้ามาเวลาใด ดังนั้นลุงพลป้าแต๋น ก็เลยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปเจอกับทนายความ แต่สุดท้ายก็เดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อมอบตัว ดังนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าหลบหนี หรือช่วยกันหลบหนี ตนจึงไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ แต่หากนายอัจฉริยะ จะฟ้องดำเนินคดีก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอนกฎหมาย
ตาชาญ ยังบอกอีกว่า วันนี้คนในครอบครัวเริ่มที่จะหันมาพูดคุยกันมากขึ้น โดยเฉพาะน้าแต น้าต่าย ก็เริ่มเข้าใจฝ่ายของลุงพลมากยิ่งขึ้น คนในครอบครัวไม่จำเป็นต้องทะเลาะหรือโกรธอะไรกัน เป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้อง แต่บางสิ่งบางอย่างก็ต้องใช้เวลาเท่านี้ ซึ่งหลังจากนี้ในฐานะคนกลางก็พร้อมที่จะทำให้คนในครอบครัวเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น แต่ยกเว้นพ่อแม่น้องชมพู่ ที่ตอนนี้ยังแยกออกจากครอบครัว และยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะเข้ามาคืนดี หรือเชื่อมความสัมพันธ์กับใครในครอบครัวใหญ่
อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมา ตนและชาวบ้านอีกจำนวนกว่า 18 คน เคยถูกแจ้งจับในข้อหาตัดต้นกล้วยของชาวบ้าน และต้องไปนอนคุก 1 คืน ก่อนได้รับการประกันตัว จากนั้นก็ได้มีการสู้คดียาวนานอีกกว่า 1 ปี 3 เดือน กระทั่งเป็นผู้บริสุทธิ์ในปัจจุบัน แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นแม้ว่าจะนอนคุกเพียงแค่ 1 คืน ตนก็อยากให้เป็นบทเรียน ไม่อยากให้ลูกหลานต้องเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าว
นายลิขิต เชื้อคนแข็ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.กกตูม อ.กกตูม จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลฯ มีคำสั่งให้ดูแลนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล หลังได้รับการประกันตัวนั้น
โดยนายลิขิต ให้สัมภาษณ์ว่า ตนยังไม่รู้เรื่องว่าตนได้รับหน้าที่ดูแลลุงพล แต่ก่อนหน้านี้ตนได้รับหนังสือข้อปฏิบัติในการดูแลผู้ต้องหามาแล้ว เพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ภายหลังได้รับประกันตัว สำหรับตนก็รู้สึกกังวลกับหน้าที่ดังกล่าว เพราะตั้งแต่รับตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านมา 15 ปี ตนไม่เคยดูแลผู้ต้องหามาก่อน และตนก็ไม่รู้ว่าทำไมศาลไม่ให้ผู้ใหญ่นิ่ม ซึ่งเป็นผู้นำในพื้นที่หมู่ 2 ซึ่งเป็นบ้านกกกอกดูแล ส่วนตัวแล้วก็รู้จักกับลุงพล แต่ไม่ได้สนิทกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากทราบเรื่องแล้ว ตนจะพูดคุยถึงข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่ศาลจังหวัดมุกดาหารกำหนดกับลุงพลอีกครั้ง ซึ่งตนคิดว่าหลังจากลุงพลได้รับประกันตัวแล้ว น่าจะไม่ยุ่งเหยิงกับพยานและหลักฐานแน่นอน ตนยืนยันว่าตนมีหน้าที่เป็นผู้นำชุมชน จะไม่มีทางผันตัวไปเป็นยูทูเบอร์อย่างแน่นอน
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญกรรม เชื่อมั่นการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจว่า จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ พร้อมระบุว่า สัปดาห์หน้าจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ภรรยาของลุงพล รวมถึงยูทูบเบอร์ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหานำพาผู้ต้องหาหลบหนี โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนยังเชื่อมั่นในทีมงานของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.และชุดสืบสวน ที่ลงมาทำคดีนี้นับปี ต้องยอมรับว่าคดีนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีกล้องวงจรปิด การรวบรวมพยานหลักฐานต้องต่อจิ๊กซอว์ให้เป็นวงกลม ถ้าขาดช่วงใดช่วงหนึ่งแล้วศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย จะทำให้เกิดความเสียหายกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าเป็นการจับแพะ
ดังนั้นต้องเห็นใจและต้องเข้าใจว่าที่พนักงานสืบสวนสอบชุดนี้ใช้เวลานาน อาจไม่ถูกใจประชาชน แต่เชื่อมั่นว่าสิ่งที่จะเกิดผลในกระบวนการยุติธรรมในชั้นพิจารณาคดีจะเป็นตัวชี้ขาดว่าหลักฐานทั้งหมดจะลงโทษผู้ต้องหาได้หรือไม่มากกว่า
ในวันนี้ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าใครทำอะไร แต่อยากจะบอกคนในประเทศว่า เรากำลังตกเป็นเหยื่อของโซเชียลมีเดีย ที่กำลังมีคน ๆ หนึ่งมาเล่นคำเล่นลิ้น และบอกได้เลยว่าถึงเวลาขึ้นศาลตัวคนที่พูดก็ไม่ได้ขึ้นชกเอง เดี๋ยวจะมีอีกคนมาขึ้นชกในศาล ซึ่งคนคนนี้เป็นแค่ตัวออกสื่อพูดดิสเครดิตตำรวจ ตัวเองไม่ได้ขึ้นชกเพราะไม่มีฝีมือ
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังฝากเตือนนายไชย์พล ว่า อย่าเชื่อมั่นมาก เพราะเวลาติดคุกก็เป็นลุงพลเป็นคนติดคุก ไม่ใช่ทนายติดคุก และขอให้จำไว้เลยว่าคน ๆ นี้ทำได้ทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง