สหายลุงผนึกกำลังเคียงข้างสู้ผูกมือรับขวัญ งดไปบ้านสาวิตรีไม่รู้จัดงาน (คลิป)

กรณีนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล อายุ 44 ปี ถูกออกหมายจับ 3 ข้อหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 บนเขาภูเหล็กไฟ หลังจากนั้นทนายตั้ม ได้พาลุงพลเข้ามามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถูกคุมตัวไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน ก่อนจะส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม และศาลได้ให้ประกันตัว 1.8 แสนบาท ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 6 มิ.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่หน้าบ้านของนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล พบว่าเวลา 08.00 น. มีญาติผู้ใหญ่ 2 ฝ่าย ทั้งของนายไชย์พล และป้าแต๋น นำโดยนายผ่อง วิภา และตาชาญ หลาบโพธิ์ เดินทางมาร่วมผูกข้อไม้ข้อมือให้กับทั้งคู่ และในพิธีสังเกตว่า มีย่าอชิ ยายจำลอง น้าต่าย น้องสาวของป้าแต๋น ยายอุ่น อวนวัง ทนายสมเกียรติ โรจนวรกมล ทนายความส่วนตัวของลุงพล-ป้าแต๋นในคดีป่าไม้ และเหล่ายูทูเบอร์ เดินทางมาร่วมให้กำลังใจ และร่วมพิธีสู่ขวัญด้วย

ในวันนี้นายไชย์พล - ป้าแต๋น นุ่งขาวห่มขาว ออกมารับการผู้ข้อมือ เพราะมีความเชื่อส่วนตัวว่า การใส่สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ และภายหลังที่ผู้เข้าร่วมพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ ก่อนเดินทางกลับจะได้รับพระที่ระลึกจากนายไชย์พล คือ พระพุทธชินราชสีทอง จากวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก, พระพิมนางพญา จากวัดนางพญา จ.พิษณุโลก กลับไปบูชาด้วย

ภายหลังการผูกข้อไม้ข้อมือใช้เวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ๆ หลังจากที่พิธีเสร็จสิ้นลงแล้วนายไชย์พล - นางสมพร ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากได้เข้าร่วมพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ ก็ได้รับความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ทำให้พวกตนมีกำลังใจที่ดีขึ้น เห็นชาวบ้านเดินทางมาร่วมผูกข้อไม้ข้อมือตนก็ต้องขอบคุณที่ยังมีคนคอยให้กำลังใจ และการที่ตนนุ่มขาวผมขาวร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ เพราะชุดขาวสื่อความหมายถึงความบริสุทธิ์ ส่วนกรณีที่ผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องที่หญิงลี ออกมาให้สัมภาษณ์ ตนขอปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เพราะจะไปเกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามหรือพาดพิงถึงคนอื่น

นายไชย์พล เผยต่ออีกว่า หลังจากที่มีพิธีผูกข้อไม้ข้อมือเสร็จแล้ว ตนก็เตรียมที่จะใช้ชีวิตเป็นเกษตรกร “อยากจะชวนนักข่าวไปช่วยดำนา เพราะผมจะไปทำนาแล้ว จะไปเป็นเกษตรกรแล้ว” ส่วนกรณีที่นายสิระ เตรียมจะลงพื้นที่หมู่บ้านกกกอกเร็ว ๆ นี้ ให้เป็นหน้าที่ของทนายตั้มคอยประสานหรือให้รายละเอียด ดังนั้นหากใครอยากจะรู้วันเวลาหรือความคืบหน้า ให้ไปสอบถามกับทนายตั้ม

ส่วนในเรื่องของวัตถุพยาน หรือพยานฝ่ายของตน ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการทำงานของทนายตั้ม ตนไม่ขอเปิดเผยถึงเรื่องนี้ และยังคงยืนยันว่าปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่มีการละเมิด หรือให้ข้อมูลที่จะเกี่ยวข้องกับทางคดี เพราะยังเป็นเรื่องของทีมทนายที่จะดำเนินการหลังจากนี้

ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี บายสีสู่ขวัญ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกัน ยายอุ่น อวนวัง ผู้เฒ่าผู้แก่ประจำหมู่บ้านกกกอก ในฐานะที่เดินทางมาร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญฝั่งบ้านของนายไชย์พล

ยายอุ่น เปิดเผยว่า ตนเดินทางมาเพื่อประกอบพิธีตามความเชื่อโบราณของชาวภูไท เมื่อบุคคลใดเจอเรื่องเลวร้าย จะต้องประกอบพิธีเรียกขวัญกำลังใจให้คืนกลับมา แต่ในวันนี้ตนได้รับคำเชิญจากบ้านของนายไชย์พล จึงได้มาร่วมพิธีที่บ้านหลังดังกล่าว ทางกลับกันฝั่งบ้านของน้องชมพู่ยังไม่มีใครเชิญ ซึ่งหากวันนี้ครอบครัวน้องชมพู่มีใครเชิญให้ตนไปร่วมงาน ก็พร้อมที่จะไปโดยทันทีไม่มีข้อกังขา “ตนเป็นคนเท่าคนแก่ของหมู่บ้าน ใครมาเชิญก็ต้องไป และไปทุกคนทุกหลังคา ไม่เลือกฝ่ายเลือกข้าง ตนไม่ได้รังเกียจใคร

ส่วนกรณีที่ครอบครัวของน้องชมพู่ ได้ประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับแม่น้องชมพู่ ตนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้มีการประกอบพิธีที่บ้านของน้องชมพู่ ตนก็เพิ่งรู้จักที่นักข่าวมาบอก ซึ่งในเมื่อตนไม่รู้ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไป แม้ว่าตนจะไม่ได้ไปร่วมงานที่บ้านของแม่น้องชมพู่ ก็ยังฝากร่วมให้กำลังใจ ซึ่งตนก็ให้กำลังใจทั้ง 2 ฝ่าย “ขอให้แม่น้องชมพู่อยู่ดีมีแฮง มีความสุขความเจริญ”

นางพงศ์สุดา เชื้อคนแข็ง หรือย่าน้องอชิ เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนได้มีโอกาสร่วมพิธีผูกข้อไม้ข้อมือให้กับนายไชย์พล-ป้าแต๋น ถือว่าเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้รับการประกันตัวแล้ว โดยตนได้อวยพร “ขอให้อยู่ดีมีแฮง ขวัญอยู่ที่ไหนก็ขอให้ได้คืนกลับมา ขอให้มาอยู่กับบ้านกับเรือน กับพ่อกับแม่” เรียกได้ว่าเป็นประเพณีของชาวภูไท แม้ว่าที่ผ่านมาลุงพลจะเจอกับหมายจับ หรือตกอยู่ในสถานะของผู้ต้องหา กระทั่งได้รับการประกันตัวออกมา ตนก็คงยืนยันเหมือนเดิมว่าจะยืนอยู่เคียงข้างลุงพลไม่ไปไหน 

ส่วนกรณีที่บ้านของน้องชมพู่ ในวันนี้ก็มีพิธีผูกข้อไม้ข้อมือให้กับนางสาวิตรีเช่นกัน ตนไม่รู้ว่ามีการจัดงานให้กับแม่น้องชมพู่ และที่สำคัญเขาไม่ได้เชิญ จึงไม่ได้ไปร่วม แต่ถ้าเขาเชิญก็จะไปเหมือนกัน ซึ่งตนยอมรับว่าทุกวันนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกกกอกดีขึ้น ไม่ได้เกิดความแตกแยกแต่อย่างใด