จอย ติตัส  น้อมรับทุกคำติ  เผยดีใจลูกค้าแห่อุดหนุนแน่นร้านหลังเป็นข่าว

8 มิ.ย. 64

ต้องบอกว่าหลังอดีตนางแบบยุค 90’s “จอย ติตัส” ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อฯเกี่ยวกับผลกระทบที่ได้รับในช่วงโควิด-19 แฟนๆหลายคนก็ต่างพากันเข้ามาแสดงความคิดเห็น ชื่นชมในความใจสู้ ไม่เลือกงานของตน แต่ในขณะเดียวกันก็มีชาวเน็ตบางคนออกมาตำหนิถึงภาพลักษณ์ของตนในฐานะแม่ค้า ที่ถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งเรื่องของการไม่มัดผมตอนขายข้าวต้ม ปล่อยให้ผมรุงรังไม่เหมือนกับคนที่เคยเป็นนางแบบมาก่อน หรือจะเป็นการติงเรื่องของหุ่นที่ดูอวบอั๋นขึ้นจนผิดหูผิดตา

จนทำให้ล่าสุด “จอย” ถึงกับทนกับกระแสดราม่าไม่ไหว ต้องออกมาโพสต์เฟสบุ๊กชี้แจงเป็นประเด็นๆว่า
“การเป็นข่าวก็ต้องทำใจน่ะ มีทั้งคนรักและคนเกลียด ส่วนเรื่องผม จอยต้องขอโทษที จอยผิด และยอมรับผิดค่ะ พอดีให้ส้มภาษณ์เพลินไปหน่อยตอนทำโชว์เลยลืมมัด ตอนขายมัดและใส่หมวกเรียบร้อยค่ะดูแลความสะอาดอย่างดี ขอบคุณที่ตักเตือนค่ะ จอยไม่ใช่คนที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยนะคะพอดีเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกถึง 4 คน ประหยัดมาก แค่ไม่อยากใช้เงินเก็บไปเรื่อยๆ

1623128779636

เพราะความที่ เราเป็นแม่เลยออกมาหาอาชีพเสริมค่ะ และจะไม่ได้ใช้ความเป็นดาราหาความพิเศษกว่าคนอื่นนะคะ จอยก็คือมนุษย์ธรรมดาคนนึง แต่แค่นักข่าวช่วยทำข่าวให้เผื่อจอยและเพื่อนแม่ค้าแถวนั้นจะขายดีขึ้นเท่านั้นเองค่ะ ต้องขอขอบคุณนักข่าวนะค่ะ โดนดราม่าอย่างแรงและยอมรับผิดค่ะที่ไม่ได้มัดผม ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ค่ะ น้อมรับทุกคำติค่ะ

แล้วเรื่องที่สมัยก่อนผอมและตอนนี้ทำไมอ้วนคือ มันก็ตามวัยนะคะเพราะอายุมากแล้วตอนนี้และทำอาชีพเป็นแม่ค้าขายของแล้วก็ชอบกิน ไม่รู้จะลดความอ้วนเหมือนนางแบบสมัยก่อนไปทำไม มันก็ตามวัยนะคะ จะให้เป็นเหมือนสมัยก่อนก็คงจะยากค่ะ ตอนช่วงจะเป็นนางแบบก็ทำงานดีที่สุด ดูแลตัวเองอย่างดี เมื่อหมดเวลาทำแล้วมันเป็นเวลาส่วนตัวที่อยู่บ้านลูก กินกับลูกมันก็เลยเลยเถิดไปขนาดนี้ ซึ่งจอยมีความสุขมากค่ะไม่อยากผอม เพราะหิวข้าวค่ะเวลาผอม” แถมยังมีการโพสต์ตัดพ้อตัวเองอีกว่า

“ผิดที่เราเองอ่ะ ไม่ทำตัวให้สวยเป็นแม่ค้า ทั้งที่เราเป็นคนของประชาชน ต้องน้อมรับคำชมและคำด่า คิดว่าคำด่าคือคำชมก็แล้วกันจะได้มีความสุข ไม่สามารถทำให้ทุกคนถูกใจได้ ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ต้องอดทนความร้อนและหน้าเตา ตื่นแต่เช้า ไม่รู้จะทำให้ตัวเองสวยได้ยังไง พยายามแต่งหน้าเหงื่อก็ออกอีก มันก็เลยเป็นสภาพนี้ล่ะค่ะ”

และวันนี้ 6 มิถุนายน ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีก็เลยเดินทางไปหา “พี่จอย” อีกครั้งเพื่อถามถึงกระแสที่เกิดขึ้น พร้อมอัพเดตชีวิตหลังออกมาให้สัมภาษณ์ในครั้งที่ผ่านมา

1623128760115

“พี่จอย” บอกเลยว่าอันดับแรกต้องขอบคุณสื่อมากๆที่ให้เกียรติเข้ามาทำข่าวให้กับตน ทำให้ 3 วันที่ผ่านมาตนขายของหมดเร็วมาก ต้องทำของเพิ่มด้วย เรียกตั้งร้านตอน 5 โมงเย็น ของหมดตอน 1 ทุ่มเลยทีเดียว และต้องให้คนมาช่วยขาย เพราะทำไม่ทันจริงๆ รายได้จากเดิมที่เคยได้วันละ 2,000 บาท ช่วงนี้ก็เพิ่มเป็น 3,000 กว่าบาทแล้ว

ที่สำคัญคือมีแฟนๆ ลูกค้าเข้ามาทักเยอะมาก บางคนก็บอกว่าจำตนได้ ก็เลยอยากมาชิม ส่วนตัวยอมรับว่าดีใจมาก เพราะที่ผ่านมาตนก็ขายไปตามประสา ไม่ได้ประชาสัมพันธ์อะไรพิเศษ บางวันที่ขายไม่ได้ก็มีเศร้าบ้าง แต่วันนี้แม้ผลประกอบการจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามตนยังคงต้องเรียนรู้ทักษะการขายอีกเยอะ

ส่วนเรื่องกระแสดราม่านั้น “พี่จอย” ก็ขอยกมือไหว้ขอโทษทุกคน พร้อมยอมรับผิดทุกอย่างด้วยตัวเอง เนื่องจากตนเพิ่งเริ่มเป็นแม่ค้าได้ไม่นาน วันที่ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกไปก็เลยลืมตัวไปหน่อย บวกกับอากาศมันร้อน จึงเผลอปล่อยผมไป ถือว่าพลาดในจุดเล็กๆน้อยที่สำคัญมากๆ แต่ปกติแล้วตนก็มัดผม สวมหมวกเรียบร้อยตลอด ไม่ได้ปล่อยรุงรังเหมือนที่ทุกคนเห็น

และเรื่องของหุ่นที่ดูอวบอั๋นขึ้นนั้น “พี่จอย” ก็อธิบาย ตอนที่ตนเป็นนางแบบใหม่ๆ ตอนนั้นมันเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็น ตนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แล้วไปเดินเล่นในห้างห้างหนึ่ง (สยามเซ็นเตอร์) แล้วมีผู้ใหญ่ในวงการชื่อ “พี่ป้อม” เดินมาเห็นพอดี จึงลองพาไปถ่ายแบบ เดินแบบดู ปรากฎว่าหลังจากนั้นก็ทำงานในวงการนางแบบมาตลอด

ซึ่งช่วงที่ทำงานไปเรื่อยๆ ตนก็เริ่มควบคุมอาหาร ลดความอ้วนอยู่ตลอด จนน้ำหนักลดลงต่ำสุดคือ 42 กิโลกรัม ทำให้ลำไส้เริ่มตัน จนต้องเข้ารับการผ่าตัด และเมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี ตลอดการทำงานในวงการ ร่างกายก็ต่อต้านอาหารที่กินไป ถึงขั้นที่ว่ากินเยอะไม่ได้อีกเลย

1623128579899

จนกระทั่งตนออกจากวงการตนก็เริ่มฝึกกิน เพื่อให้ร่างกายตอบสนองและชินกับอาหาร ด้วยการแนะนำของแพทย์ว่าให้กินวันละ 5 มื้อ ซึ่งก็เห็นผล น้ำหนักเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆจนตอนนี้แตะอยู่ที่ 68 กิโลกรัม แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถกินเยอะๆทีเดียวได้เหมือนแต่ก่อนอยู่ดี

อีกทั้งตนยังต้องเลี้ยงดูลูก 4 คนด้วยตัวเอง ตั้งแต่ลูกสาวคนโตวัย 32 ปี ที่ท้องกับสามีต่างชาติ ปัจจุบันเลิกราไปแล้ว คนนี้เดิมทีทำงานอยู่สายการบินแห่งหนึ่ง แต่ปัจจุบันตกงาน // คนที่ 2 อายุ 22 ปี เป็นผู้ชาย ซึ่งท้องกับสามีคนไทย ปัจจุบันเลิกราไปแล้ว คนนี้ก็เพิ่งจะเรียนจบไปหมาดๆ // คนที่ 3 ซึ่งท้องกับสามีที่เป็นคุณหมอ และเลิกราไปแล้ว เป็นผู้หญิง อายุ 18 ปี เรียนหมออยู่ประเทศอังกฤษ และคนสุดท้าย คนที่ 4 ท้องกับกับสามีคนไทย ซึ่งเลิกราไปแล้วเช่นกัน คนนี้เป็นลูกสาววัย 13 ปี เรียนอยู่ต่างจังหวัดกับญาติ โดยตอนนี้ “พี่จอย” โสด

ซึ่งในวัยเด็กๆ ตนเลี้ยงลูกเองทั้งหมด มันก็เหนื่อยเป็นปกติ เวลาเหนื่อยก็กินเยอะ หรือแม้กระทั่งเวลาลูกกินอะไรเหลือไว้ คนเป็นแม่ก็ต้องกินต่อให้หมด บวกกับอายุเยอะขึ้น จะลดแต่ละทีก็ยาก ในจุดนี้ตนก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติที่น้ำหนักอาจจะเพิ่มขึ้นได้

1623128680967

ทำให้พอมีคนทักเข้ามาเยอะๆ ก็แอบเสียใจบ้าง แต่ใจหนึ่งก็เข้าใจว่าคนอาจจะจำภาพในอดีตของตนได้ชัด จึงเกิดการเปรียบเทียบ ส่วนใจหนึ่งก็อยากจะลดให้เหลือสัก 50 กิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม “พี่จอย” ก็เลือกที่จะมองกระแสดราม่าทั้งหมดเป็นเรื่องดีๆที่ยังมีคนพูดถึง พร้อมกับตั้งใจน้อมรับทุกคำคอมเม้น เพราะสุดท้ายแล้วตนเป็นเพียงแต่คนธรรมดาคนหนึ่งก็เท่านั้น

อีกเรื่องที่ “พี่จอย” อยากจะชี้แจงตรงนี้คือ คอมเม้นที่หลายคนบอกว่า ตนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนทำให้ต้องมาขายข้าวต้มแบบนี้ เจ้าตัวยืนยันเลยว่าที่ผ่านมาตนไม่เคยฟุ่มเฟือยเลยแม้แต่บาทเดียว ตนพยายามที่จะนำเงินทั้งหมดที่มีส่งเสียลูกเรียนจนจบภาคอินเตอร์ทั้ง 4 คน บางคนไปอยู่ต่างประเทศด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ตาม

ที่หันมาขายข้าวต้มเพราะช่วงสถานการณ์ โควิด-19 ทำให้งานเบื้องหลังที่ตนทำอยู่ถูกเบรกไป และไม่อยากเอาเงินเก็บมาใช้จนหมด จึงต้องหารายได้เพิ่มในแต่ละวันก็เท่านั้น เพื่อให้ลูกได้มีกินมีใช้ ดังนั้นอยากให้ทุกคนมองอีกมุมว่า การที่ตนลุกขึ้นสู้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนที่กำลังหาทางออกในช่วงนี้อยู่มากกว่า

สุดท้าย “พี่จอย” ก็อยากขอบคุณลูกค้าทุกคนที่อุตส่าห์เดินทางมาอุดหนุนตน เพราะนอกจากตนจะขายได้แล้ว พ่อค้าแม่ขายที่อยู่ในบริเวณรอบๆก็มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยกันหมด

1623128591998

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส