กรณีนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล อายุ 44 ปี ถูกออกหมายจับ 3 ข้อหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 บนเขาภูเหล็กไฟ หลังจากนั้นทนายตั้ม ได้พาลุงพลเข้ามามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถูกคุมตัวไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน ก่อนจะส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม และศาลได้ให้ประกันตัว 1.8 แสนบาท ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 8 มิ.ย.64 เวลา 10.00 น. นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ ทนายความ ได้เดินทางมาเยี่ยมครอบครัวน้องชมพู่ ซึ่งนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ ก็ให้การต้อนรับทนายบุญถาวร เป็นอย่างดี จากนั้นทั้ง 2 คน ได้พูดคุยกันประมาณ 10 นาที
หลังจากพูดคุยเสร็จ ทนายบุญถาวร ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตนเดินทางมาทำธุระส่วนตัวที่ จ.มุกดาหาร จึงแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนครอบครัวน้องชมพู่เพื่อให้กำลังใจ และให้คำแนะนำทางด้านกฎหมายกับแม่น้องชมพู่ รวมถึงช่วยทำบุญกับครอบครัวน้องชมพู่ ก่อนหน้านี้ตนได้ติดตามข่าว ซึ่งก็ได้เห็นว่าแม่น้องชมพู่ เป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย ตนจึงได้ให้คำแนะนำ และถ้าหากครอบครัวน้องชมพู่ถูกข่มขู่หรือคุกคาม ตนก็ยินดีที่จะเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อให้ครอบครัวน้องชมพู่ได้รับความเป็นธรรม ที่ตนมาเยี่ยมครอบครัวน้องชมพู่ไม่เกี่ยวกับว่าในอดีตตนเคยมีเรื่องฟ้องร้องกับทนายษิทราแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ตนก็อยากตำหนิทนายษิทรา เรื่องการใช้ข้อกฎหมาย เพราะทนายษิทรา อ้างว่าการที่ตำรวจออกหมายจับลุงพล ถือว่าเป็นการออกหมายโดยที่ไม่มีความชอบธรรม แต่อย่าลืมว่าการออกหมายศาลเป็นผู้ออก โดยมีตำรวจหรือพนักงานสอบสวนของคดีเป็นผู้ยื่นขอ ซึ่งถือว่าเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ถ้าทนายษิทรา เห็นว่าไม่ชอบธรรมก็ไปแจ้งจับตำรวจที่เป็นคนขอหมายจับ หรือไม่ก็ไปฟ้องต่อศาล แต่ทุกคนทราบกันดีว่าคดีนี้มีผู้เสียชีวิต และในฐานะตำรวจก็ต้องสืบสวน เพื่อหาตัวคนร้าย จนนำไปสู่การออกหมายจับ ซึ่งตำรวจใช้เวลาสืบคดีนับปี ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะต้องออกหมายเรียก เพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีฉ้อโกง หรือคดีที่มีอัตราโทษ
กรณีที่ทนายษิทรา ไปท้าอาจารย์ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ตนก็ไม่เห็นด้วย และคิดว่าเป็นการกระทำไม่เหมาะสมกับอาชีพทนายความ อีกทั้งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับทนายความรุ่นหลัง ตนคิดว่าถ้าศาลออกหมายจับผู้ต้องหา แล้วผู้กระทำความผิดยังไปร้องกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน บ้านเมืองจะวุ่นวายไปหมด ตำรวจก็ต้องออกมาชี้แจงทุกคดี ตนจึงมองว่าการทำแบบนี้ไม่จำเป็น และตนก็เคยตำหนินายสิระ ไปแล้ว ตนยืนยันว่าคดีน้องชมพู่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการเมืองแน่นอน
ขณะที่ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา หรือ แม่น้องชมพู่ เปิดเผยว่า ตนยืนยันว่าทนายบุญถาวร ไม่ใช่ทีมทนายความที่จะเข้ามาดูแลคดีน้องชมพู่ แต่ตนก็ฝากขอบคุณทนายความทุกท่านที่เดินทางมาที่บ้านของตน ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (9 มิ.ย.64) ทุกคนก็จะได้รู้ว่าทนายความของตนเป็นใคร กรณีทนายษิทรา ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเครื่องซินโครตรอน ว่าไม่สามารถใช้ชี้ชัดตัวบุคคลได้ ตนก็ไม่ได้กังวลใจ ตนเชื่อว่ามีผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ และตนไม่ได้หนักใจในเรื่องนี้ ตนเชื่อว่าทนายความที่จะมาช่วยเหลือตนเป็นคนที่เก่งพอสมควร
แม่น้องชมพู่ กล่าวต่อว่า กว่าที่ตนจะตัดสินใจเลือกทนายความคนนี้ ยอมรับว่าต้องทำการบ้าน และศึกษารายละเอียดหนักมาก ทนายฝั่งลุงพลเป็นทนายที่เก่ง ตนก็ต้องหาทนายความที่ฝีมือสูสีกัน ตนมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดสำหรับคดีนี้ ส่วนเรื่องทางคดีหลังจากนี้ตนจะให้ทนายความเป็นผู้ตอบคำถามแทน ส่วนกรณีลุงพล จะไปหานายสิระ ตนก็ยอมรับว่ามีกังวลใจบ้าง
แม่น้องชมพู่ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทีมทนายของตนเป็นทีมที่ดีมาก ๆ ทำให้ตนมีกำลังใจ ทำให้ครอบครัวตนอุ่นใจ และทำให้มั่นใจมากว่าจะได้รับความยุติธรรม ตราบใดที่ผู้ร้ายยังไม่ได้รับโทษ ตนก็ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าชีวิตประจำวันจะเผชิญกับอะไรบ้าง
ทยายวรยุธ บุญวงษ์ใส เตรียมเดินทางไปบ้านกกกอก จ.มุกดาหาร เพื่อให้คำปรึกษาสาแม่น้อยชมพู่ กล่าวสั้น ๆ กับผู้สื่อข่าวว่า ทางทีมทนายความที่ก่อนหน้านี้ให้คำปรึกษากับแม่น้องชมพู่ ได้ประสานมาเพื่อให้ตนเดินทางไปให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกับคดี ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (9 มิ.ย.64) จะมีการประชุมที่โรงแรมพร้อมแถลงข่าวว่าใครจะเป็นทนายให้แม่น้องชมพู่ มวยถูกคู่แน่
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นายกฤษฎา โลหิตดี หรือ ทนายโนบิ ซึ่งอดีตเคยเป็นทีมทนายที่อยู่ข้างนายไชย์พล เดินทางมาให้กำลังใจครอบครัวแม่น้องชมพู่
ทนายโนบิ บอกว่า ก่อนหน้านี้มีทนายเกิดผล แก้วเกิด ที่เตรียมจะเดินทางมาหาแม่น้องชมพู่ แต่วันนี้เจ้าตัวได้ถอนตัวแล้ว เพราะหลังจากทราบว่าแม่น้องชมพู่ มีทีมทนายความเป็นของตัวเอง ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของเหล่าอเวนเจอร์ทนายความ ในส่วนประเด็นที่คาดกันว่า นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ อาจจะเป็นทีมของแม่น้องชมพู่ ส่วนตัวมองว่าถ้าเป็นการโต้ตอบ และการใช้พื้นที่สื่อ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ถือเป็นการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ก็เชื่อว่าในทางการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในชั้นศาล นายอัจฉริยะ ก็มีทีมทนายเป็นของตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแม่น้องชมพู่ แต่ในคดีนี้ไม่ใช่มีเพียงแค่ทนายความ ยังมีอัยการที่วางตัวเป็นกลางอีกด้วย โดยเป็นอัยการที่มีความเก่ง ความรู้ความสามารถ ที่จะให้ความเป็นธรรมได้ทั้ง 2 ฝ่าย
กรณีกระแสสังคมตอนนี้มองว่า กำลังเกิดศึกทนายความ ระหว่างนายไชย์พล กับแม่น้องชมพู่ ส่วนตัวคิดว่าทนายความก็เหมือนนักมวย เมื่อขึ้นว่าความและชั้นศาลก็ต้องมีการต่อสู้ “เวลาขึ้นชกก็ต้องชกให้สมศักดิ์ศรี” และเมื่อเข้าถึงกระบวนการศาล ก็ต้องสู้กันด้วยพยานหลักฐานข้อเท็จจริง แต่ด้วยความสง่างามทางวิชาชีพ ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้ของการรับหน้าที่นั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ทนายโนบิ ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับเครื่องซินโครตรอนว่า เครื่องมือดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งเรื่องการแปลผลและประสิทธิภาพ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนเบิกความ แต่ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์มีความหน้าเชื่อถือมากพอสมควร ดังนั้นการจะไปหักล้างหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ อาจเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ออกมาเปิดเผยผ่านทางไลฟ์สดช่องยูทูบ “ทนายคลายทุกข์” บางช่วงบางตอนมีการตอบโต้ทนายตั้ม กรณีท้าให้เข้ามาเป็นทนายว่าความในคดีน้องชมพู่ โดยทนายเดชา บอกว่า "ผมกลัว ผมไม่กล้าหรอกครับ พวกคุณอายุ 40 ปี มาท้าคนที่อายุเกือบ 60 ปี ผมไม่กล้า เพราะพวกคุณเก่งมาก ขนาดเเม่น้องชมพู่ยังชม ว่าทนายลุงพลเก่ง"
แต่ต่อมา นายเดชา ก็ได้เปิดเผยว่า ตนได้รับโทรศัพท์จากนายอัจฉริยะ เพื่อนรัก ว่า เตรียมจะขนทนายความคณะใหญ่ ประมาณ 3 - 4 คน เดินทางไปภาคอีสาน เพื่อเตรียมเเถลงข่าวที่โรงแรมมุกดาวิว ใกล้กับหอแก้วที่มีสาว ๆ เยอะ ๆ อยู่ในจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเพื่อนรักคนนี้บอกกับตนว่า "เดี๋ยวผมจะสู้กับทนายลุงพลเอง เพราะผมสู้กันมาหลายครั้งแล้ว พรุ่งนี้ 11 โมงจะแถลงข่าวแบบไฟแล่บ"
ทนายเกิดผล แก้วเกิด กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นทนายที่จะเข้าไปช่วยเหลือฝั่งของแม่น้องชมพู่ แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมามีคนติดต่อเข้ามาเสนอเงิน เพื่อจ้างให้เป็นเป็นทนายของฝั่งนั่นจริง ๆ ซึ่งเป็นตัวแทนคนใกล้ชิดของ “แม่น้องชมพู่” แต่ตนไม่สามารถทำได้ ไม่ได้หมายความว่าความสามารถของตนไม่พอ แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกและจรรยาบรรณ เพราะส่วนตัวก็สนิทกับ “ทนายตั้ม” มานาน และเคยรู้จักกับ “ลุงพล” มาก่อน กลัวว่าจะกระทบถึงความสัมพันธ์ กลายเป็นไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันในอนาคต และกลัวว่าประชาชนทั่วไปจะแยกแยะไม่ออกว่านี่คือหน้าที่ ไม่ใช่ทำเพราะว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทั้งนี้ หาตนยอมรับเป็นทนายความฝั่งแม่น้องชมพู่ แล้วมีภาพหลังขึ้นศาลเสร็จ ตนกับทนายตั้มไปทานข้าว สนิทสนมกัน คนจะเข้าใจผิดได้ ด้วยเหตุนี้จึงปฏิเสธไป ส่วนปรากฏการณ์ที่ว่าทีมทนายถูกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ตนมองว่านี่อาจจะเป็นการเปิดศึกย่อม ๆ ระหว่างทนายความ เพราะส่วนใหญ่แล้วทนายที่เข้าไปช่วยฝั่งของ “แม่น้องชมพู่” ก็เคยมีข้อพิพาทกับ “ทนายตั้ม” มาก่อน แต่อาจจะไม่ใช่การเปิดศึกกันแบบ 100% เพราะคู่ขัดแย้งไม่ใช่ทนายโดยตรง ดังนั้นตรงนี้ก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าคนที่จะมาช่วยเหลือ “แม่น้องชมพู่” มีเจตนาที่จะช่วยเหลือด้วยความสุจริตใจหรืออยากจะแก้แค้น “ทนายตั้ม”
นอกจากนี้ ต้องมาดูว่าพรุ่งนี้ (9 มิ.ย.64) “แม่น้องชมพู่” จะเปิดตัวใครเป็นทนายความ เพราะในเมื่อ “ทนายตั้ม” เป็นบุคคลที่มีความสามารถและมีชื่อเสียง ดังนั้นทนายฝั่งแม่น้องชมพู่ ก็จะต้องมีคุณสมบัติพี่สามารถโต้ตอบได้ทุกประเด็น กล้าพูด ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียง แค่เป็นที่รู้จักของสังคมก็พอ แต่หลัก ๆ แล้วจะต้องมีความสามารถ เพราะขณะนี้ความคาดหวังของแม่น้องชมพู่มีสูงมาก และที่ “ทนายตั้ม” เข้าไปพบ “นายสิระ เจนจาคะ” ส่วนตัวยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ชัดเจนของ “ทนายตั้ม” แต่คาดว่าน่าจะเป็นการยื่นให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดทำคดีไชย์พล
อย่างไรก็ตาม ตนก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ “ทนายตั้ม” เข้าไปหา “นายสิระ” เพราะทนาย ควรจะว่ากันด้วยเรื่องของกฎหมายไม่ใช่การเมือง ดังนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่านี่คือเกมอย่างหนึ่งในการหาพื้นที่สื่อของทนาย
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางไปพูดคุยนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ตนก็ยังไม่ทราบว่าลุงพบกับทนายษิทรา จะยื่นหนังสือให้ตรวจสอบเรื่องอะไรบ้าง ก็ต้องรอมีการพูดคุยกันอีกครั้ง แต่เมื่อตนได้รับหนังสือแล้ว ก็จะนำมาพิจารณาในคณะกรรมมาธิการว่า พอจะมีอำนาจรับพิจารณาตามกรณีที่ยื่นหนังสือมาได้หรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วจึงจะสามารถกำหนดได้ว่าจะเชิญใครได้บ้าง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร ใครไม่ได้รับความยุติธรรม ก็สามรถยื่นเรื่องมาที่ตน เพื่อเรียกหรือเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเข้ามาให้ข้อมูลได้
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า จะมีทนายความเข้าไปช่วยเหลือแม่ของน้องชมพู่ ในส่วนนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และให้ความเป็นธรรมกับคดีนี้ จะได้ทราบว่าแม่ของน้องชมพู่ ไม่ได้รับความเป็นธรรมในส่วนไหนหรือไม่ ซึ่งทนายก็จะเป็นนักกฎหมาย ที่สามารถช่วยในส่วนของแม่ชมพู่ได้
นอกจากนี้ ตนเคยสัญญากับแม่น้องชมพู่ว่า หากเจ้าตัวไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ให้แจ้งตน เพราะตนและคณะกรรมธิการยินดีที่จะช่วยในทุก ๆ ด้าน ในฐานะผู้เสียหายทางคดีอาญาเพื่อขอรับเงินเยียวยาจำนวนหนึ่งได้
ทั้งนี้กรณีลุงพลที่ตั้งสงสัยในประเด็นที่ว่า ไม่เคยเห็นเครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้กับคดีของน้องชมพู่เลยนั้น ในส่วนนี้ตนยืนยันว่า ตนก็ยังไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเครื่องมือชนิดใด ไม่รู้ว่าจะเป็นเครื่องมือสากล สามารถออกผลเที่ยงตรงแม่นยำในผลตรวจหรือไม่ แต่ในส่วนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนก็มีส่วนสงสัยในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกหมายจับ การที่ตำรวจเข้าจับกุมลุงพลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายละเอียดดังกล่าวก็จะเป็นส่วนประกอบในคำถามที่ตนอยากจะถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
อย่างไรก็ตาม หากมีการยื่นหนังสือเสร็จสิ้นกระบวนการทุกสิ่งอย่าง ตนก็จะเดินทางไปหาแม่น้องชมพู่ที่กกกอก ในวันที่ 12 มิ.ย.64 เวลา 10.00 น. เพื่อสอบถามแม่น้องชมพู่ว่า จะให้ทางคณะกรรมาธิการ ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง เพื่อช่วยกันเคลียร์ปัญหาให้จบได้ด้วยดี
เวลา 17.30 น. "อุ๊บ วิระยะ" นักปั้นมือทอง ในฐานะอดีตคนที่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือลุงพล ป้าแตน เดินทางมาที่ลานพญานนาคปู่ปาริจิต ข้างบ้านนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ซึ่งไม่ได้มีการจุดธูปเทียนบูชาพญานาค เพียงแค่ยกมือไหว้ 1 ครั้ง และหันไปยกมือไหว้พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บริเวณหางพญานาค ยืนมองจุดที่ดินทรุดตัว
"อุ๊บ" ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตนเดินทางมาเพื่อให้กำลังใจแม่น้องชมพู่ เนื่องจากในวันพรุ่งนี้ (9 มิ.ย.64) จะมีการแถลงข่าวว่าใครจะรับเป็นทนายความให้แม่น้องชมพู่ แม้ว่าหลายคนจะมองว่าตนเป็นนกสองหัว ตนก็ไม่รู้สึกกังวล เพราะวันนี้ยังคงให้กำลังใจแม่น้องชมพู่ในฐานะครอบครัวผู้สูญเสีย แต่ความจำเป็นวันนี้ที่ต้องเดินทางมาที่ลานพญานาค ก็เพราะทราบข่าวว่าหลังจากที่มีฝนตกหนัก พื้นพญานาคเริ่มทรุดตัว ตนจึงอยากเดินทางมาเห็นด้วยตา หลังจากที่ได้ดูแล้วก็ยอมรับว่าพื้นดินทรุดตัวจริง ๆ
แต่การเดินทางมาที่ลานพญานาควันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าลุงพลป้าแต๋นอยู่บ้านหรือไม่ เพราะที่ตรงนี้ใคร ๆ ก็สามารถมากราบไหว้บูชา ตามความเชื่อและความศรัทธาได้ และการเดินทางมาในวันนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลุงพลป้าแต๋นไม่อยู่บ้าน แต่เมื่อมาถึงแล้วก็เลยอยากย้อนไปดูเรื่องราวเก่า ๆ ที่เคยร่วมสร้างหรือเห็นการก่อสร้างตั้งแต่แรก ๆ
ในระหว่างที่ อุ๊บ กำลังให้สัมภาษณ์ พบว่าเจ้านิก หมาของนายไชย์พล ได้วิ่งเข้ามาเล่นกับอุ๊บ เจ้านิกที่ยังจำอุ๊บได้ วิ่งเข้ามาเล่น และมุดเข้าไปในกระโปรง โดยทางอุ๊บกล่าวขึ้นมาว่า “ไม่เจอกันนานกว่า 6 เดือน แต่นิกยังจำกันได้ แต่ทำไมผอมจังได้กินอะไรบ้างไหม เลี้ยงสัตว์มันยังซื่อสัตย์ ไม่แว้งกัดเหมือนเลี้ยงคน” พร้อมกับหัวเราะขึ้นมา 1 ครั้ง
หลังจากที่ อุ๊บ เดินทางมาที่ลานพญานาค ก็ได้เดินทางไปที่บ้านของแม่น้องชมพู่ เพื่อให้กำลังใจ และไปทานข้าวเย็นร่วมกัน แต่ในระหว่างที่อุ๊บ ลงพื้นที่ทีมข่าวสังเกตว่า ฝั่งตรงข้ามลานพญานาค ยังคงมีกลุ่มยูทูเบอร์ ติดตามถ่ายคลิปตลอดเวลา บางช่องถึงกับไลฟ์สดความเคลื่อนไหว รายงานว่า “อุ๊บ วิริยะ มากกกอกแล้ว”
"วันพรุ่งนี้ ที่จะมีการเปิดตัวทนายของครอบครัวน้องชมพู่ พี่ก็จะเดินทางไปด้วย เพื่อให้กำลังใจครอบครัวน้องชมพู่ และทีมทนาย พี่คิดว่าด้วยประสบการณ์ของทนายที่จะเข้ามาช่วยคดีครอบครัวน้องชมพู่ ทำให้พี่เชื่อมั่นในทีมทนายชุดนี้เป็นอย่างมาก และอยากให้ทนายแต่ละฝั่งเอาความจริงมาพูดคุยกัน ไม่ต้องการให้มีการปะทะกัน น้องชมพู่จะต้องไม่เสียชีวิตฟรี คนร้ายต้องชดใช้กรรม พี่เชื่อในกระบวนการยุติธรรม และกฎแห่งกรรม และเชื่อว่าสิ่งดี ๆ จะเข้ามาหาครอบครัวน้องชมพู่" อุ๊บ วิริยะ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังการให้สัมภาษณ์เสร็จ อุ๊บ วิริยะ ได้มอบของขวัญ ให้กับครอบครัวน้องชมพู่ 2 อย่างคือ 1.มังกรก้อนทอง เป็นเรซินพ่นด้วย ทองคำ 99.99% มูลค่าหลักหมื่นบาท มีความหมายว่า สามารถต่อสู้ได้ทุกสิ่งอย่าง 2.ผ้ายันต์ตาไข่ ช่วยให้มีพลัง มีกำลังใจ