จากกรณีลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท ระหว่างร.ต.ท.จรูญ วิมูล และนายปรีชา ใคร่ครวญ ที่อยู่ระหว่างการสืบพยานหาข้อเท็จจริงว่าเป็นของใครนั้น
วันที่ 22 ส.ค. 61 ที่ตลาดนัดเรดซิตี้ จ.กาญจนบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พบกับลุงส้ม (นามสมมติ) ผู้อ้างว่าเห็นลุงจรูญในวันเกิดเหตุ ที่ตลาดนัดเรดซิตี้ แต่ไม่เห็นว่าลุงจรูญจะซื้อลอตเตอรี่ โดยเจ้าตัวยังยืนยันกับทีมข่าวว่าวันเกิดเหตุลุงจรูญเดินผ่านบริเวณด้านหน้าแผงขายนมเปรี้ยวซึ่งเป็นจุดที่ตนยืนอยู่ ทำให้จำได้อย่างแม่นยำ
ด้าน
น.ส.ปาณภัสสรณ์ พิมพ์พัฒน์ แม่ค้าขายนมเปรี้ยว เปิดเผยว่า ลุงส้มฝากของไว้ที่ร้านตนและได้เดินมาเอาของจริง ส่วนที่ลุงส้มเห็นลุงจรูญนั้นตนไม่ทราบ เพราะตัวเองไม่เห็นลุงจรูญเนื่องจากไม่ได้สังเกต และส่วนตัวก็ไม่รู้จักลุงจรูญมาก่อนทำให้ไม่ได้เป็นที่สนใจ ส่วนครูปรีชาตนเห็นว่ามาที่ตลาดจริง แต่ไม่ได้เห็นตอนรับส่งลอตเตอรี่ ทั้งนี้ เรื่องคลิปก้มเก็บหวยตนไม่เคยเห็น แต่เคยได้ยินคนในตลาดพูดกันเท่านั้น ซึ่งตนก็ไม่มั่นใจว่ามีจริงหรือไม่ โดยส่วนตัวก็ยังเชื่อว่าลอตเตอรี่เป็นของครูปรีชา เพราะเจ้าตัวมาที่ตลาดเรดซิตี้จริง
ส่วนกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ ร.ต.ท.จรูญ ได้เสนอท้ายให้ทนายฝ่ายครูปรีชา ใคร่ครวญ รับคำท้า หากฝ่ายใดว่าความแล้วแพ้ในคดีนี้ ให้ลาออกจากทนายความนั้น ล่าสุด
นายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความครูปรีชา เปิดเผยว่า ตนเองเคยบอกไปแล้วว่าไม่รับคำท้าย ซึ่งเหตุผลที่ไม่รับไม่ได้เกิดความกลัวแต่อย่างใด แต่กลัวว่าสภาทนายความจะเสียหาย โดยเรื่องนี้อยากขอให้สภาฯ เข้ามาดูแลเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากเป็นห่วงทนายความอีก 8 หมื่นคนจะได้รับผมกระทบ อีกทั้งการท้ายกันลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ผิดมรรยาททนายความและกลายเป็นการกระทำผิด เป็นแบบอย่างไม่ได้ เพราะเป็นการพนันขันต่อ ซึ่งบทบาททนายความมีหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริง เป็นไปตามกฏหมาย ไม่มีหน้าที่ในการพิจารณาชี้ว่าใครผิดหรือถูก เพราะเป็นอำนาจของศาล และคำว่าการท้ากันระหว่างทนายกับทนายก็ไม่เคยมีเกิดขึ้น ตนเองก็ในฐานนะเป็นทนายมา 21 ปี ก็พึ่งเคยเจอ ส่วนตัวรู้สึกไม่สบายใจ ทนายวรยุทธบอกว่า ผมไม่ได้กลัว แต่ผมห่วงองค์กร ผมเป็นทนายผมทำผิดมรรยาทไม่ได้”
เมื่อถามว่าฝ่ายทนายดังท้ามาแล้ว และทนายวรยุทธไม่รับ กลัวสังคมจะมองไม่ดีหรือไม่ ทนายบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของความกลัว “ไม่ใช่กลัวจะเป็นแบบนั้นแบบนี้หรือไม่” ตนเองเพียงจะสื่อว่า สิ่งที่ทนายดังท้ามากำลังทำผิดข้องบังคับของสภาทนายความ และความเป็นทนายความ ในเมื่อเขาเสนอมาแล้วตนเองรับ ตนเองก็เหมือนทำผิดข้อบังคับไปด้วย “ผมก็ผิดที่ไปร่วมเล่นเกมกับเขา” ฝากถึงทนายดัง กลับไปอ่านข้อบังคับให้ดี ๆ
ท้ายที่สุด หากคดีพิจารณาเสร็จ เมื่อศาลพิจารณาแล้วก็จะเป็นเครื่องชี้วัด สุดท้ายฝ่ายที่ผิดก็ต้องติดคุก เพราะต่างฝ่ายต่างมีคดีที่ฟ้องกันเอาไว้แล้ว และตนเองจะไปบอกให้ใครออกจากความเป็นทนายไม่ได้ เพราะไม่ใช่สภาทนายความ “ผลคดีเป็นเครื่องชี้วัด ศาลจะเป็นคนพิจารณาตาทกระบวนการยุติธรรม อย่าทำให้สภาต้องมัวหมอง ด้วยถ้อยคำการท้าทายของทนายเพียง 2 คน”