จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก “CSI LA” โพสต์ข้อความระบุ น.ส.ลิซซี่ (นามสมมติ) หญิงสาวชาวอังกฤษวัย 19 ปี ถูกข่มขืนทางทวารหนักที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งยังมีทรัพย์สินสูญหาย หลังไปนั่งดื่มกับเพื่อน โดยเธอได้ไปแจ้งความที่ สภ.เกาะพงัน แต่ตำรวจไม่รับแจ้งเรื่องข่มขืน เพราะเป็นคนละพื้นที่ ทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์
วันที่ 27 ส.ค. 61 น.ส.ภัทรา แจ่มตระกูล เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า น.ส.ลิซซี่ผู้ที่อ้างว่าถูกข่มขืน ได้เข้ามาพักที่โรงแรมของตน พร้อมเพื่อนผู้ชายอีก 4 คน ในวันที่ 21 มิ.ย. โดย น.ส.ลิซซี่มาท่องเที่ยวเหมือนลูกค้าทั่วไป ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก สังเกตได้ว่าเจ้าตัวและเพื่อนมักจะมีปาร์ตี้ทุกวัน และกลับเข้าโรงแรมค่อนข้างดึก ซึ่งตนก็สนิทสนมและดูแลแขกทุกคนที่มาพัก โดยได้สอบถามความรู้สึกทุกวัน ซึ่งน.ส.ลิซซี่ก็ดูมีความสุขดี
จนกระทั่งวันที่ 25 มิ.ย. ตนนัดกับแขกที่พักในโรงแรมรวมถึงน.ส.ลิซซี่ว่าจะไปเที่ยวร้านฟิชโบล์ บาร์ เมื่อไปถึงเวลา 22.30 น. ก็ไม่พบลิซซี่กับเพื่อน จึงคิดว่าเจ้าตัวน่าจะไปเที่ยวที่อื่น จนกลับโรงแรมในเวลา 02.00 น. ตนได้กลับที่พักแต่ก็ยังไม่พบน.ส.ลิซซี่ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกแปลกใจ
ต่อมาเวลา 09.00 น. ตนออกมาที่โรงแรม นายมาร์ติน (สงวนนามสกุล) เพื่อนของน.ส.ลิซซี่ บอกตนว่า น.ส.ลิซซี่ถูกข่มขืนเมื่อคืนวันที่ 25 มิ.ย. โดยเขาและน.ส.ลิซซี่นั่งดื่มกัน 2 คนที่บริเวณริมหาด จากนั้นมีผู้ชายลักษณะคล้ายชายไทยเข้ามาพูดคุย และเขาก็จำเหตุการณ์ไม่ได้ โดยมาทราบตอนหลังว่าน.ส.ลิซซี่ถูกพาไปข่มขืน ซึ่งตนตกใจมาก จึงชวนทั้งคู่ไปแจ้งความ แต่เจ้าตัวยืนยันไม่ไปแจ้งความ หลังจากนั้นก็ได้เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมขึ้นเรือกลับไปเกาะพงัน
กระทั่งวันที่ 4 ก.ค. นายมาร์ตินกลับมาที่เกาะพงันและปรึกษาตนว่า สามารถไปแจ้งความเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดได้หรือไม่ ตนตอบไปว่าไม่มั่นใจเพราะเจ้าตัวไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่ก็พานายมาร์ตินไปแจ้งความที่สภ.เกาะเต่า โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังทราบเรื่องก็มาตรวจกล้องวงจรปิดโดยรอบจุดเกิดเหตุทันที แต่พบว่ากล้องถูกลบไปตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. เพราะเกินวงรอบการบันทึก 7 วัน จากนั้นเจ้าตัวก็กลับบ้านไป ซึ่งตนเองก็ยังแชทคุยกับลิซซี่ แต่เจ้าตัวไม่พูดถึงเรื่องนี้
โดยส่วนตัวไม่อยากจะพูดว่าไม่เชื่อ แต่ดูไม่สมเหตุสมผล เพราะน.ส.ลิซซี่น่าจะรักตัวเองมากกว่านี้ ด้วยการไปแจ้งความตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง เมื่อตนสอบถามกลับไปว่าจำหน้าคนร้ายได้หรือไม่ ก็ตอบว่าเป็นเรื่องนานมาแล้ว ไม่อยากจำ ส่วนเรื่องคราบอสุจิบนเสื้อน.ส.ลิซซี่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เพราะหากมีหลักฐานจริง เพียงนำมาให้ตน ตนพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ ยืนยันว่าตำรวจเต็มใจที่จะดำเนินการไม่ได้ปล่อยปละละเลยตามที่มีข่าว
ทีมข่าวมาร้านลีโอบาร์ จุดที่เพจเฟซบุ๊ก CSI LA อ้างว่า น.ส.ลิซซี่ ไปนั่งดื่ม ก่อนถูกข่มขืน
นายจิรายุ กรยืนยง ผู้จัดการร้านยืนยันว่า น.ส.ลิซซี่ ไม่ได้มานั่งที่ร้านแต่อย่างใด ตนทราบเรื่องนี้จากข่าว ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 ก.ค. มีข้อความจากหญิงต่างชาติรายหนึ่ง ส่งมาในเพจของร้านระบุในทำนองว่า ลูกสาวถูกข่มขืน หลังมาดื่มเหล้าที่ร้านตน ตอนนั้นทางร้านไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นการก่อกวน จนมาทราบภายหลังว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อความจากแม่ของน.ส.ลิซซี่
นายจิรายุ ยืนยันว่า ไม่เคยเห็นหญิงสาวรายนี้ โดยเฉพาะคืนเกิดเหตุทางร้านมีการบันทึกภาพลูกค้าภายในร้านเอาไว้ทุกคน โดยเหตุที่มีการอ้างชื่อบาร์ของตน จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า เป็นจุดที่เจ้าตัวอ้างว่า ถูกผู้ชายนำตัวผ่านหน้าร้านหลังจากนั่งดื่มกับเพื่อนที่ริมหาด ข้างร้านฟิชโบล์บาร์ ซึ่งตนยืนยันว่า ที่ร้านมีกล้องวงจรปิด แต่สามารถบันทึกได้ในระยะเวลา 7 วันเท่านั้น โดยหากมาขอดูกล้องแต่แรก ก็น่าจะเห็นเหตุการณ์ โดยเรื่องนี้มีจุดที่น่าสงสัยในเรื่องที่เจ้าตัวไม่ยอมแจ้งความที่เกาะเต่าตั้งแต่แรก จึงดูไม่สมเหตุสมผล
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเคยเกิดกรณีนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเกาะเต่าไปแจ้งความนอกพื้นที่อ้างว่าถูกข่มขืน แต่สุดท้ายถูกจับได้ว่าแจ้งความเท็จเพื่อเรียกเงินจากบริษัทประกันภัย ซึ่งตนก็ตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้จะคล้ายกับคดีดังกล่าวหรือไม่ ส่วนที่มีการตั้งฉายาว่าเกาะเต่า เป็นเกาะแห่งความตาย ตนก็รู้สึกแย่ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นบทเรียนให้ผู้ประกอบการทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยและช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ทีมข่าวอมรินทร์ลงพื้นที่แหลมหิน จปร. บริเวณหาดทรายรี ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่นายเดวิด มิลเลอร์ และน.ส.ฮันนาห์ วิทเธอเรดจ์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษถูกฆ่าข่มขืนเมื่อปี 2557 โดยน.ส.ลิซซี่อ้างว่าถูกข่มขืนใกล้กับจุดดังกล่าว แต่ยังไม่ทราบจุดที่แน่ชัด ซึ่งบริเวณนี้เป็นหาดทรายที่มีโขดหินขนาดใหญ่ อยู่ใกล้กับทางเดินและโรงแรมที่พักริมหาด
สอบถามเจ้าของโรงแรมรายหนึ่ง ระบุว่า ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นและไม่พบความผิดปกติใด ๆ ในคืนวันที่ 25 ก.ค. แต่ปกติบริเวณดังกล่าวมีไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดโดยรอบ ช่วงเวลาตั้งแต่หัวค่ำถึงตี 2 ก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินผ่านตลอด ไม่ได้มืดเปลี่ยว ซึ่งเมื่อทราบว่า จุดที่น.ส.ลิซซี่ อ้างว่าถูกข่มขืนอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุเดิมก็รู้สึกไม่สบายใจ ว่าเหตุใดเหตุการณ์จึงเกิดซ้ำ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ซึ่งความจริงคนเกาะเต่าดั้งเดิมเป็นคนใจดี แต่ช่วงหลังมีคนหลากหลายพื้นที่เข้ามาทำมาหากินมากขึ้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่เหตุการณ์นี้ ตนมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะดูโหดเกินไป และหากนักท่องเที่ยวรายดังกล่าวมาขอดูกล้องวงจรปิดแต่แรก ตนก็ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก CSI LA เปิดเผยว่า แม่ของเด็กสาวนักท่องเที่ยวนชาวอังกฤษวัย 19 ที่ถูกข่มขืนนั้นเขียนมาเล่าให้เขาฟังว่า ลูกสาวเธอเป็นคนดี ก่อนมาเที่ยวเกาะเต่าลูกสาวมาทำงานจิตอาสาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ศรีลังกา 2 เดือน หลังจากนั้นเธอกับเพื่อนจึงมาแวะเที่ยวเมืองไทย ก่อนวันที่เธอจะบินกลับอังกฤษในวันที่ 26 มิย.
เพจเฟซบุ๊ก CSI LA ระบุด้วยว่า คืนวันที่25 มิ.ย.เธอไปดื่มกับเพื่อนที่ร้าน Fishbowl กับ Leo Bar หลังจากนั้นทั้งสองคนรู้สึกมึนเมาจึงตัดสินใจเดินกับโรงแรม และจำได้ว่ามีคนไทยเรียกก่อนที่เธอจะหมดสติ พอเธอตื่นขึ้นมาก็เจอหน้าชายไทยคนนั้นก่อนที่เขาจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป เธอพบว่าท่อนล่างของเธอเปลือยเปล่า และเธอถูกข่มขืนทางทวารหนัก เธอเดินกลับไปที่โรงแรม และเพื่อนของเธอพบว่าเสื้อทีเชิ้ตสีดำของเธอมีน้ำอสุจิของคนร้ายติดอยู่ด้วย เพื่อนของเธอซึ่งเป็นผู้ชายบอกว่าเขาก็โดนปล้นในคืนวันเดียวกัน
หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงนั่งเรือไปแจ้งตำรวจที่เกาะพงัน แต่ตำรวจเกาะพงันบอกว่าเหตุเกิดขึ้นที่เกาะเต่าเลยไม่รับฟ้องคดีข่มขืนแต่ยินดีที่จะเขียนรายงานเรื่องการถูกขโมยของให้
ลูกสาวของเธอได้บินกลับอังกฤษและรู้สึกโชคดีที่มีชีวิตรอดมาได้ เธอได้ไปหาหมอ และติดต่อกับสถานที่ที่ช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกข่มขืน และเธอได้นำหลักฐานเสื้อที่มีน้ำอสุจิของคนร้ายติดไว้ให้กับตำรวจอังกฤษที่เมือง Lewisham แล้ว เพื่อนของเธอซึ่งอยู่กับเธอได้กลับไปที่เกาะเต่าและขอภาพจากล้องวงจรปิดจากตำรวจ แต่ตำรวจอ้างว่ากล้องไม่ทำงานในคืนนั้น