จากกรณี นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ติดตามคดีน.ส.สุรินทร์ แอบเสมา อายุ 30 ปี แม่เด็กร้องมูลนิธิปวีณาฯ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 64 เพื่อให้ช่วยประสานตำรวจและประชาสัมพันธ์ตามหาลูกสาว 2 คน อายุ 4 ขวบ กับ 2 ขวบ หลังถูกนางรุ้งลาวัลย์ พุ่มบัว หรือ เจี๊ยบ อายุ 45 ปี พี่สะใภ้ ลักพาตัวไปอย่างไร้ชะตากรรมกว่า 7 วันแล้ว
ล่าสุด วันที่ 22 มิ.ย. 64 เวลา 09.00 น. ตำรวจสามารถควบคุมตัวนางเจี๊ยบ พี่สะใภ้แล้ว หลังหนีไปที่ อ.บึงสัมพันธ์ จ.เพชรบูรณ์ โดยยอมรับว่า เด็ก 2 ขวบ ลูกสาวของ น.ส.สุรินทร์ จมน้ำเสียชีวิต ซึ่งนางเจี๊ยบกลัวความผิดจึงนำศพไปฝังไว้ข้างบ้าน หมู่ 2 ต.คลองข่อย อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ที่ สภ.โพธาราม ตำรวจมีการนำตัวพ่อและน้องสาวของ น.ส.รุ้งลาวัลย์ มาสอบปากคำ ส่วน น.ส.สุรินทร์ และครอบครัวก็นั่งรอสอบปากคำเช่นกัน
นางสาวสุรินทร์ แอบเสมา อายุ 30 ปี แม่ของน้องนาเดีย เปิดเผยว่า ตนไม่เข้าใจว่าทำไมญาติ ๆ ของนางเจี๊ยบถึงอ้างว่าตนจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูไม่ครบ เพราะตนยืนยันว่าจ่ายเงินให้นางเจี๊ยบครบทุกเดือน เดือนละ 4,000 บาท แต่จะทยอยจ่าย โอนให้ 3,000 บาทก่อน และโอนเพิ่มให้อีก 1,000 บาทในภายหลัง และให้ค่านมอีก 2,000 บาท เพราะตนไม่มีเงิน ไม่ได้ทำงาน เนื่องจากโควิด-19 ระบาดหนัก ซึ่งตนก็มีหลักฐานการโอนเงิน
น.ส.สุรินทร์ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อคำให้การของนางเจี๊ยบว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ลูกของตนจมน้ำ นางเจี๊ยบอ้างว่าได้นั่งเฝ้าลูกของตนนอนจนหมดลมหายใจ ซึ่งตนก็ถามว่าทำไมเขาถึงไม่พาลูกไปโรงพยาบาล เจ้าตัวก็บอกว่ากลัวความผิด ไม่กล้าพาไปโรงพยาบาล ตนทราบจากเพื่อนบ้านว่านางเจี๊ยบก็ทุบตีลูกกันบ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาอะไรไม่ถึงกับขั้นรุนแรง ตนก็เคยมีความคิดอยากเอาลูกกลับไปเลี้ยงเอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเอากลับไปได้เพราะตนต้องทำงานที่กรุงเทพฯ
ในวันที่ 17 มิ.ย. 64 ตอนนั้นเกิดเหตุแล้ว ตนก็ฝันว่าอยู่ที่บ้านหลังสวยงาม อยู่ใกล้ที่ดินการเกษตร อยู่ใกล้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ตน น้องนาเดีย และน้องจิว พากันปั่นจักรยานไปซื้อขนม ซึ่งตนเชื่อว่าความฝันนี้ ลูกคงตั้งใจมาบอกว่าตัวเองตายแล้ว อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตนก็ไม่เข้าใจว่าลูกตนจมแล้วน้ำแล้วนางเจี๊ยบไม่ยอมพาตัวส่งโรงพยาบาล แต่กลับโทรหาหมอดู
นายอำพล ลือบางใหญ่ อายุ 34 ปี พ่อของน้องนาเดีย เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้เข้าไปสอบปากคำกับตำรวจหลายชั่วโมง ซึ่งตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของนางเจี๊ยบ ยังต้องรอสอบปากคำเด็ก 2 คนที่ไปด้วยว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ตนก็ไม่เชื่อว่าที่ลูกของตนตายนั้นจะเป็นอุบัติเหตุ เพราะตนรู้สึกไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ตนออกตามหาลูก ตนไปหาลูกที่บ้านนางเจี๊ยบแต่ครอบครัวของเขากลับไม่ช่วยเหลืออะไรเลย ซึ่งตนเชื่อว่าหลังเกิดเหตุจะต้องมีใครช่วยเหลือนางเจี๊ยบอย่างแน่นอน เพราะนางเจี๊ยบหนีไปได้ไกลถึงจังหวัดเพชรบูรณ์
ก่อนหน้านี้ตนก็อยากเอาลูกกลับมาเลี้ยงเอง เพราะก่อนหน้านี้ในตอนที่ตนมาเยี่ยมลูก ก็เห็นว่าลูกเนื้อตัวมอมแมมผอมแห้งเหมือนไม่ค่อยได้กินอะไร แต่แม่ของลูกไม่ยอมให้ตนเอาลูกกลับไปเลี้ยง เพราะอยากให้น้องโมเดลและน้องนาเดียได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งตนก็ไม่สามารถเอาลูกกลับมาเลี้ยงเองได้ สำหรับนางเจี๊ยบนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าตนก็จะดูรักลูกและเอ็นดูลูกของตน ไปซื้อขนมให้กิน แต่ตนเชื่อว่าลับหลังเขาคงปล่อยให้ลูกตนอด เพราะถ้าลูกตนได้กินอาหารครบถ้วนลูกคงไม่ผอมขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เข้าใจว่าทำไมในตอนที่ตนไปตามหาลูก ครอบครัวของนางเจี๊ยบจึงไม่ยอมช่วยเหลือตนเลย เอาแต่บอกว่าไม่รู้ ไม่ช่วยให้เบาะแสอะไร สุดท้ายนายอำพลพูดทั้งน้ำตาว่า รู้สึกแค้นใจที่นางเจี๊ยบเอาลูกไปฝังดิน
นายวัน (นามสมมติ) อายุ 67 ปี พ่อของผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ตนไม่รู้มาก่อนว่านางเจี๊ยบจะก่อเหตุลักษณะนี้ เวลา 07.00 น. ในวันที่ 16 มิ.ย. 64 ตนออกจากบ้านไปทำงานก็ไม่เจอนางเจี๊ยบและลูก ๆ แล้ว เชื่อว่าพวกเขาน่าจะออกไปตอนเช้ามืด ยอมรับว่าแม้ว่าบ้านจะอยู่ติดกัน แต่ตนก็ไม่รู้เรื่องราวเลยว่าลูกสาวก่อเหตุอย่างไร ในใจยังมีความเชื่อว่าลูกสาวนั้นไม่ได้ลงมือฆ่าน้องนาเดีย แต่น้องนาเดียน่าจะจมน้ำซึ่งเป็นอุบัติเหตุมากกว่า เพราะนางเจี๊ยบเองก็เลี้ยงดูน้องโมเดลและน้องนาเดียมาตั้งแต่เด็ก ๆ รักมากเหมือนลูกแท้ ๆ ไม่เคยทุบตี หรือแสดงพฤติกรรมรุนแรงกับเด็ก เพราะแม่ของน้องนาเดียนั้นเคยเอาลูกกลับไปเลี้ยงด้วยตัวเองแล้ว แต่สุดท้ายก็เอากลับมาให้นางเจี๊ยบเลี้ยงอีก เพราะมีความเชื่อใจว่านางเจี๊ยบนั้นเลี้ยงดี
อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกตกใจ แต่ไม่กังวลใจที่นางเจี๊ยบถูกจับ ถ้าเขามีความผิดก็ขอให้ตำรวจจับตัวเขาไปและนำไปดำเนินคดีโดยที่ตนก็จะไม่ไปประกันตัว
ด้าน รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือ มศว เปิดเผยว่า ปกติคนจมน้ำ จะทำให้น้ำเข้าทางจมูกและปากผ่านการสำลัก ซึ่งการสำลักน้ำจะไปปิดกั้นทางเดินหายใจของร่างกาย ส่วนใหญ่คนสำลักน้ำจะขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ผ่านไป 30 วินาที จะเริ่มหมดสติ แต่ยังไม่เสียชีวิต ปอดกับหัวใจยังทำงานได้อยู่แต่ไม่เต็มที่ ถ้าจมน้ำผ่านไป 4 นาที เซลล์สมองตาย อวัยวะส่วนอื่นจะล้มเหลวตามมา จึงจะเข้าสู่ภาวะการเสียชีวิต หากปั๊มหัวใจขึ้นมาส่วนใหญ่ก็จะนอนเป็นผัก
ทั้งนี้ หากมีการช่วยเหลือหลังจมน้ำไม่นานมีโอกาสที่จะรอดชีวิตได้ การช่วยเหลือโดยหลักพื้นฐานจะต้องเคลียร์ช่องทางเดินหายใจ หากเห็นอะไรอุดตันทางเดินหายใจก็หยิบออกได้ แต่กรณีที่เป็นน้ำ ต้องใช้วิธีช่วยเอาน้ำออกจากปากและจมูก ช่วยทำให้ทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น
โดยคนที่จมน้ำตายแล้วมีโอกาสที่น้ำจะไหลออกจากปาก และไหลออกจมูกนั้น น้ำไหลออกได้เป็นปกติ เช่น การพลิกศพจมน้ำตาย น้ำก็สามารถไหลออกจากปากได้ ดังนั้นน้ำที่ไหลออกปากจมูก ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่ามีชีวิตหรือเสียชีวิต กรณีของเด็ก 2 ขวบ ที่พี่เลี้ยงอ้างว่ามีการปั๊มหัวใจช่วยให้ฟื้นขึ้นมา การช่วยเด็กทำได้ยากกว่าผู้ใหญ่ ต้องเชี่ยวชาญจริง ๆ สภาวะหลังหัวใจหยุดเต้นต้องเฝ้าระวังมาก มีโอกาสหัวใจจะหยุดเต้นซ้ำ การปั๊มหัวใจเป็นการกู้ชีพเบื้องต้น แต่ต้องรีบไปรักษาให้ทัน ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
ขณะเดียวกัน แต่เมื่อฟื้นได้แล้วก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะน้ำอาจเข้าปอด อาจจะไม่สะอาดจะทำให้ปอดติดเชื้อภายหลังได้ ส่วนคนจมน้ำ แล้วมีการปั๊มหัวใจจนฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังอ่อนเพลีย ยังไม่มีความพร้อมที่เด็กจะดูดนมได้ มีความเป็นไปได้ยาก ตามคำอ้างพี่เลี้ยงที่หายไป 20 นาที กลับมาพบว่าเด็กจมน้ำ ปั๊มจนฟื้นขึ้นมาแล้วให้นม จนกระทั่งตอนเช้าเด็กเสียชีวิต ตนเองมองว่าผิดวิสัยคนทั่วไป คนทั่วไปคิดได้ว่าต้องพาไปโรงพยาบาล ไม่ควรให้น้องนอนอยู่บ้าน จึงเป็นข้อสงสัยว่าทำไมถึงคิดกระทำเช่นนั้น