ต้อม ไกรวิทย์ เผยโควิด-19 ทำธุรกิจร้านทำผมกระทบหนักสุด ตั้งแต่ทำผมมา 10 ปี

25 มิ.ย. 64

เป็นอีกคนคุณภาพในวงการบันเทิงที่มีความสามารถทั้งในด้านการร้องเพลงและการแสดงเอามากๆสำหรับ ต้อม ไกรวิทย์ ที่มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ พร้อมเปิดใจ 10 ปีที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานเพราะว่าได้ย้ายไปอยู่กับคู่ชีวิตที่แคนนาดา แต่เพราะด้วยเหตุของครอบครัวจึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยและปักหลักทำอาชีพในฝัน เปิดร้านทำผมมากว่า 10 ปี แต่เพราะวิกฤตโควิดร้านทำผมที่เปิดได้รับผลกระทบอย่างหนักสุดๆ พร้อมเผยถูกทักเรื่องดวงแรงถึงขนาดชะตาขาด 

 

ถาม ตอนนั้นยังไงถึงคิดหันหลังให้กับวงการบันเทิงไปต่างประเทศ แล้วก็มาเปิดร้านทำผม

ต้อม ไกรวิทย์ : ตอนนั้นคืองานของเราน้อยลง เราก็ต้องยอมรับด้วยแล้วตอนหลังไปทำเพลงร้องเพลงกับ เจี๊ยบ นนทิยา ด้วยเราทำวงกันมีโชว์ทุกวันๆ ทุกคืนไม่มีวันหยุด ถามว่าเรามีความสุขกับงานแสดงไหมเราก็มีความสุขนะคะ แต่ว่าพอถึงจุดหนี่งดารารุ่น ต้อม ก็มีเยอะงานของเราตรงนั้นก็ลดลง ยิ่งพอเราไปร้องเพลงอีกแล้วงานเพลงเยอะ งานทางด้านการแสดงการหายไปอีกก็เลยคิดว่าเบรกตัวเองไหม แล้วเราก็คุยกับแฟนว่าเราต้องคิดต้องมองแล้วว่าอนาคตเราจะอยู่ตรงไหนเพราะว่าแฟนของเราไม่ใช่คนไทยใช่ไหมค่ะ เราเลยหยุดพักทุกอย่างแล้วก็ไปอยู่ที่แคนนาดากันก่อนก็ไปอยู่ที่นั่นมาประมาณ 10 ปี ไปเรียนทำผมที่นั่นเลย ตอนแรกคิดว่าจะไปร้องเพลงแต่ปรากฎว่าธุรกิจเอ็นเตอร์เทนที่นั่นเขาไม่เหมือนเรา เราเลยคิดว่ามันยากเกินไปในความพยายามของเรามันเหนื่อยมากไม่สนุกเลย พอเราไปเห็นโปรแกรมตัดผมเราเลยคิดไปเรียนไว้ก่อนดีกว่ายังไงก็สามารถมาตัดให้กับแฟนได้ แต่เรายิ่งเรียนเรายิ่งชอบเพราะเราก็รู้สึกตัวตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าชอบทำผมแต่มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นแต่พอเราได้ไปเรียนได้ไปลงมือทำคือ เราก็เจอทางเราเลยก็เปิดร้านเลยตอนนั้น ซึ่งเมืองนอกคือเขาจะเปิดร้านเขาก็บอกว่าต้องสะสมลูกค้าให้โอเคก่อนถึงจะเปิดร้านได้แต่เราไม่ได้คิดแบบนั้นเราคิดแบบคนเอเชียคือ เป็นแล้วเปิดเลย แต่จริงๆ ก็เป็นดวงของเราคือ เปิดแล้วเราดูแลลูกค้าดีลูกค้าเลยติดเร็วมากๆ แล้วก็มาถึงจุดที่หักเหคือ เราต้องมาเมืองไทยเพราะว่าเราคุยโทรศัพท์กับคุณแม่แล้วรู้สึกแปลกๆ ด้วยความที่เราคิดถึงเมืองไทย คิดถึงการร้องเพลงอยู่เราเลยคิดว่าถ้าเรายังช้ากว่านี้เราก็จะแก่ลงกว่านี้เราเลยกลับมาที่เมืองไทย

 s__72941855

ถาม ธุรกิจหลักที่นอกจากการร้องเพลงที่ก่อนหน้านี้ที่ยังเห็นมีอยู่คือ คอนเสิร์ตที่มีเรื่อยๆ และร้านทำผม Sukho Salon

ต้อม ไกรวิทย์ : ร้านทำผมเปิดมาแล้ว 10 ปีค่ะ แต่พอมาเจอโควิดรอบที่หนึ่งถึงหนักแต่ว่าเราก็ยังพอไปได้ยังดูแลลูกน้อง เพราะว่ามันเป็นช่วงสั้นๆ ไม่นานมาก ช่วงนั้นมันมีการปิดล็อกดาวน์ด้วยเราไม่ต้องเสียค่าเช้าด้วย ซึ่งเราก็ดูแลเรื่องอาหารการกินแต่อาจจะไม่ได้มีเงินทองให้ พอมารอบที่สองเราก็พอที่จะช่วยค่าใช้จ่ายได้บ้างแต่เด็กๆ น้องๆ บางคนก็ถอยกลับไปอยู่ต่างจังหวัด เหมือนเราก็ลดภาระไปโดยปริยาย แต่รอบที่สาม คือ รอบนี้เลยเราถูกบังคับให้เปิดต้องใช้คำนี้เลยเพราะเป็นคำสั่งที่เราปิดไม่ได้ คือ เราอยากปิด ซึ่งเราคุยกับห้างคือเราสามารถปิดก็ได้แต่ต้องจ่ายค่าเช่า เพราะรัฐบาลเขาให้เปิดและเขาไม่ให้เราทำพวกที่ใช้สารเคมี ห้ามทำสีผม ตรงนั้นคือไม่ได้ แต่ตรงนั้นคือรายได้หลัก ให้เราทำได้แค่สระไดร์ ผู้หญิงช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมาสระเพราะว่าเขาไม่ได้ไปไหน ส่วนผู้ชายเขาก็สามารถตัดผมของเขาได้ด้วยตัวเขาเองแต่ก็มีผู้ชายที่มาตัดผมอยู่บ้างนะคะ แต่เขาก็กลัวอีกที่จะมาห้างเขาเลยตัดใกล้ๆบ้านเขาก่อน

 

ถาม ตอนนี้ทำยังไงกับร้านที่เปิดอยู่

ต้อม ไกรวิทย์ : ทำค่ะ เราก็ทำไปตามปกติแล้วก็ใช้วิธีการทำงานแบบออนเซลล์มากขึ้นคือการโทรศัพท์หาลูกค้าว่าตอนนี้ที่ร้านเรามีมาตรการยังไงบ้าง ปลอดภัยนะคะ ให้ลูกค้าได้สบายใจและกล้าที่จะมาทำผมที่ร้านสามารถจองได้เราสามารถจัดเวลาให้มาทำโดยที่ไม่ทับซ้อนกัน ซึ่งต้องบอกเลยว่าจะว่าโชคดีก็โชคดี จะโชคร้ายก็มีเข้ามาเพราะว่าที่เราเปิดมาทั้ง 3 สาขา สัญญาคือหมดไล่เลี่ยกัน ซึ่งบางที่ก็หมดแล้วทางห้างเขาก็อยากให้เราต่อแต่เราดูจากสถานการณ์แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ส่วนที่เอสพลานาดยังเหลืออีก 2 เดือน เขาก็เรียกเราคุยแต่เราก็รู้สึกว่ามันจะเรื่องยาวเพราะว่าค่าเช่าในห้างคือ มันก็จะประมาณหกหลักตอนนี้ความตั้งใจของเราเลยตั้งใจว่าจะหยุดทุกอย่างคือ หมดก็หยุดไม่ได้ไปต่อเพราะเราไม่อยากเครียดพูดง่ายๆคือ เราอยากกลับมาตั้งหลักก่อน แต่ก็มีเพื่อนที่เขาเปิดร้านอยู่แล้วเขาก็ให้เราเข้าไปทำร่วมกับเขาแต่เราคือ ด้วยเรื่องการทำธุรกิจเราก็ต้องคิดมากๆเพราะเราไม่อยากทะเลาะ แต่ก็มีอีกที่ที่เรากำลังดูอยู่เพราะว่าเป็นของเพื่อนที่มาจากแคนนาดาแล้วเขาก็มาเปิดธุรกิจแล้วบังเอิญในส่วนของผมไม่มีคนทำ เพราะเขาเคยทำแล้วจ้างคนมาทำแล้วไม่รอดอาจจะแบ่งกันคือ เขาทำในส่วนของสปา ส่วนของเราคือทำให้ส่วนของผม

 s__72941857

ถาม ต้องบอกว่า ต้อม เขาไม่ได้มีบ้านที่เมืองไทยอย่างเดียวแต่เขามีบ้านอยู่ที่ แคนนาดา ด้วยคิดจะกลับไปที่โน้นไหม

ต้อม ไกรวิทย์ : คิดค่ะ เพราะว่ามิตรภาพของเพื่อนๆ เราที่เราเจอตอนที่เราไปอยู่ที่แคนนาดามา 10 ปี คือ มิตรภาพที่ดีมากๆ เพราะทุกคนที่เรารู้จักที่แคนนาดา ทุกคนไปใช้ชีวิตที่ดิ้นรนที่นั่นเหมือนกับเรามันเลยเป็นการที่เรารู้จักกับเขาคือที่แท้จริง ด้วยใจกันจริงๆ เป็นอะไรที่ผูกพันกันจริงๆ เราคิดว่าถ้าเรากลับไปที่โน้นเราเริ่มต้นคือ ไม่ยากเพราะทุกวันนี้ที่เราอยู่ตรงนี้เพราะว่าคุณพ่อเพราะสุขภาพเขาก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งต้องบอกเลยว่าโควิด ครั้งนี้มันกลับมาสอนอะไรในชีวิตของเราเยอะมาก ว่าสุขภาพของเราคือเรื่องใหญ่แล้วดูสิคนที่เป็นคือภาพหดหู่มากเลยจากคนสนิทที่ใกล้ตัวนะคะ สามีเขาเป็นโควิด แล้วภรรยาก็ต้องถูกกักตัวไปเผาศพไม่ได้ เราเห็นแล้วรู้สึกแบบพูดไม่ออกเลย แล้วเรามองย้อนมาถ้าเป็นตัวเราจะทำยัง เป็นยังไง

 

ถาม แล้วก็ทำให้เราวิตกกังวลไปอีกเพราะว่ามีคนเข้ามาทักเราอีกว่า ช่วงนี้เราจะเจอวิบากชีวิต

ต้อม ไกรวิทย์ : หมอดูเขาทักเราว่าเราจะชะตาขาด ซึ่งคนนี้เขาคือคนที่พี่ต้อม คอยปรึกษา เขาจะไม่ได้เหมือนหมอดูทั่วไปเขาจะเปิดตำราโหราศาสตร์โบราณ ซึ่งจริงๆที่เราโทรหาเขาคือ เราจะปรึกษาเรื่องธุรกิจเปิดดีไหมปิดดีไหมแล้วเขาก็ทักขึ้นมาว่าปี 2564 ระวังด้วยนะครับ จะล้มหมอนนอนเสื่อหนักมาก เราก็หนักมากยังไงเราจะตายไหม เขาก็บอกมาว่าหนักมากครับ อาจจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษา เขาก็บอกเราแค่ว่าดูแลตัวเองเยอะๆนะครับ

 s__72941851

ถาม แล้วเขาบอกถึงวิธีการแก้เคล็ดไหม

ต้อม ไกรวิทย์ : เขาพูดแบบนี้มนุษย์เราก็จะมีวงจรกรรมของตัวเองอยู่แล้ว แต่พี่ต้อม จำไว้นะครับถ้าสัญชาตญาณของตัวเองบอกให้ทำอะไรก็ไปทำอย่างนั้น เราพอได้ฟังก็เครียดมากจนไม่ไหวจนชนิดที่ว่าเอาเถอะตายก็ตายแล้วกันแต่ว่าขอให้ตายดีๆทำในสิ่งดีๆก็เลยเอาข้าวกล่องไปให้บุคลากรทางการแพทย์เมื่อโควิดรอบสองแล้วทางคุณหมอเขาก็พาเราไปดูตึกมูลนิธิของโรงพยาบาลเด็ก ก็ปรากฏว่าเด็กที่คลอดออกมาแล้วไม่สมประกอบรอการรักษาเยอะมาก เราก็ทำบุญทำคอนเสิร์ตเพื่อช่วยเหลือเลย จนล่าสุดเราก็โทรกลับไปถามที่โรงพยาบาลอีกครั้งอยู่ดีๆ เราก็นึกขึ้นมาว่าอยากจะโทร ว่าอยากได้ความช่วยเหลืออะไรบ้างไหมเขาบอกว่าดีจังเลยที่เราโทรมาเพราะเตียงคนไข้เต็มหมดแล้วกำลังจะดัดแปลงห้องประชุมมาใส่เต็นท์ความดันลบ แล้วก็ซื้อชุด PPE เราก็เลยยกหูหาเพื่อนๆ เขาต้องการเพียงสองแสนบาทเท่านั้นเอง และการทำบุญกับต้อม คือสบายใจได้เลยนะเพราะว่าทุกอย่างมีใบเสร็จจากทางโรงพยาบาล เราเป็นเพียงแค่คนกลางที่ช่วยเราก็ทำสำเร็จพอได้ครบตามจำนวนคืออย่างหนึ่งเลยเรารู้สึกดี โดยที่เราก็ไม่ได้อะไรแล้วสักพักน้องคนนี้ที่ดูดวงให้เราก็โทรมาอีก พี่ต้อม ผมกับอาจารย์ไม่รู้ว่าพี่ทำอะไรแต่สิ่งที่พี่ทำคือ ดีมากแล้ว ต่อไปนี้อะไรที่หนักจะกลายเป็นเบาหมดแล้วนะครับ ทำต่อไปถ้ารู้สึกแบบนี้ก็ให้เราทำต่อไป

 

ถาม เมื่อกี้บอกว่าคอนเสิร์ตคือจัดไม่ได้เลยคิดว่าจะจัดคอนเสิร์ตเป็นแบบออนไลน์

ต้อม ไกรวิทย์ : ใช่ คือ ตอนนี้เป็นโปรเจกต์ที่เราวางเอาไว้มีศิลปินหลายท่านเลยค่ะ ตอนแรกจะมีวันที่ 6 มิถุนายน ก็ต้องเลื่อนเป็นวันที่ 28 มิถุนายน เป็นคอนเสิร์ตการกุศลนะคะ ดูทางออนไลน์และใครที่จะบริจาคคือตามแรงกำลังของเราเลยค่ะ เราก็ตั้งใจที่จะทำตรงนี้ช่วยเหลือไปเรื่อยๆ และอีกอย่างหนึ่งคือเราได้กลับมาร้องเพลงด้วย เป็นการร้องเพลงที่สร้างบุญบารมีให้กับทุกคนด้วย ไม่ขออะไรมากขอแค่ทุกคนไม่ป่วย ไม่เสียคนที่เรารักไป เพราะมันเป็นอะไรที่สุดในชีวิตแล้ว

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส