จากกรณี นายกวิน แสงนิลกุล ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงผู้บริสุทธิ์ในร้ายสะดวกซื้อย่านลาดพร้าว ก่อนไปยิงผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลสนามที่ จ.ปทุมธานี และหลบหนีไปพื้นที่ จ.ระนอง ก่อนถูกคุมตัวได้ในที่สุดนั้น
วันที่ 26 มิ.ย. 64 พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน นำตัวนายกวิน เเสงนิลกุล อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาขึ้นรถคุมขัง ไปขออำนาจศาลอาญา ฝากขังผัดแรก 12 วัน ด้วยข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และไตร่ตรองไว้ก่อน รวมทั้งพกพาอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต เบื้องต้นตำรวจคัดค้านการประตัว เนื่องจากเป็นคดีอุจกรรจ์สะเทือนขวัญ เกรงหากปล่อยตัวผู้ต้องหาจะหลบหนี
โดยระหว่างถูกนำตัวขึ้นนรถคุมขัง นายกวินขอโทษถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้กล่าวถึงบุคคล 2 คน ด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยอ้างว่าเป็นผู้ทำให้ตัวเองต้องเป็นเเบบนี้ ซึ่งขณะอยู่บนรถ ทีมข่าวพยายามสอบถาม นายกวินบอกว่า "ขอโทษครับในการกระทำของผม ขอโทษพ่อแม่ครับ"
ขณะเดียวกันในช่วงเช้า ระหว่างที่ผู้ต้องหาถูกคุมตัวในห้องคุมขัง นายกิตติ และนางสุพัตรา แสงนิลกุล พ่อแม่ของนายกวิน เดินทางมาเยี่ยม นำข้าวเช้ามาให้ลูกชายกิน ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง
พ่อกับแม่ผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ระหว่างที่เยี่ยมพบว่านายกวินร้องไห้เสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น บอกกับพ่อเเม่ว่า "ขอให้เขาเป็นคนสุดท้าย ที่เกิดจากเหตุความรุนแรงในค่ายทหาร จนนำมาสู่ความเครียด กระทั่งเกิดอาการทางจิต" ครอบครัวขอโทษแทนลูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยอมรับผิดที่ลูกใช้ความรุนแรง ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 2 ครอบครัว และยินดีจะชดใช้เยียวยาตามกำลัง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ต้องการให้สังคมมองอีกมุมว่าต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากลูกมีความเครียดสะสมจากการถูกกระทำให้กระทบกระเทือนทางจิตใจ ในขณะเป็นทหารเกณฑ์ เบื้องต้นพบว่านายกวินมีอาการป่วยเป็นโรคภาวะป่วยทางจิต จากเหตุการณ์รุนแรง หรือโรค ptsd และได้พาไปรักษาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 จำนวน 2 ครั้ง แต่เห็นว่าอาการปกติแล้ว จึงไม่คิดว่าจะทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น อีกทั้งลูกชายมีความเจ็บใจที่ลูกชายชอบพูดภาษาอังกฤษ แต่ครูฝึกและรุ่นพี่ไม่ชอบจึงถูกสั่งให้โดนตบหน้า ทั้งเจ็บและอายในคราวเดียวกัน
โดยโรคนี้ยังมีภาวะเครียดซ่อนอยู่ภายในจิตใจ หากมีสิ่งใดมากระตุ้น ก็อาจทำให้เกิดภาวะคลั่งขึ้นได้ พร้อมต้องการเรียกร้องให้นายทหารที่ลูกชายอ้างว่าเป็นผู้ทำร้ายร่างกายในค่ายทหารมารับผิดชอบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากถือเป็นต้นเหตุที่ทำให้มีการก่อเหตุความรุนแรง เชื่อว่าอาจมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นกับลูกอีก
ซึ่งการที่ระบุว่าลูกมีอาการป่วย ไม่ใช่ประเด็นที่จะนำไปต่อสู้คดี แต่ไม่แน่ใจว่าพนักงานสอบสวนจะนำประเด็นที่ลูกถูกทำร้ายเข้าในสำนวนหรือไม่ ยืนยันว่าการเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ ไม่ได้กล่าวหากองทัพบก แต่อยากให้ผู้ที่กระทำรับผิดชอบเท่านั้น ส่วนเรื่องอาวุธปืน ลูกชายมีไว้ครอบครองจำนวน 2 กระบอก และมีทะเบียนครอบครองถูกต้อง ที่ผ่านมาครอบครัวไม่เคยสนับสนุนความรุนแรง แต่ลูกชายเคยฝึกการใช้อาวุธระหว่างที่เป็นทหารเกณฑ์ เมื่อปลดประจำการมาจึงซื้อปืนมาป้องกันตัวเอง
สำหรับวันเกิดเหตุที่ลูกชายใส่ชุดคล้ายทหาร เนื่องจากต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าถูกกระทำจากบุคคลใด และที่เข้าไปก่อเหตุในสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด เนื่องจากผู้ที่ทำร้ายลูกชายมีประวัติเสพยา แต่ยืนยันว่าตัวลูกไม่เคยข้อเกี่ยวข้องเรื่องยาเสพติด
ที่วัดราษฎร์ประคองธรรม ศาลา 2 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ที่ตั้งงานสวดอภิธรรมศพของนายรัฐวิทย์ สันติคุปตพง หรือวิทย์ อายุ 32 ปี ผู้เสียชีวิต
น.ส.จี (นามสมมติ) อายุ 33 ปี แฟนสาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้พิมพ์แชตพูดคุยกับผู้เสียชีวิตในเวลา 02.31 น. ผู้เสียชีวิตได้ตอบตามปกติ ต่อมาเวลา 03.00 น. ตนทักแชตไปหาผู้เสียชีวิตอีกครั้ง แต่ผู้เสียชีวิตไม่ได้ตอบ สักพักตนก็รู้สึกว่าผิดปกติ เพราะปกติแล้วผู้เสียชีวิตจะตอบแชตตนหากว่างงาน และจะตอบกลับไม่นานนัก กระทั่งในเวลา 03.20 น. ตนตัดสินใจมาหาผู้เสียชีวิตที่ร้านสะดวกซื้อ เมื่อมาถึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้ว แต่ไม่คิดว่าผู้เสียชีวิตจะถูกยิง
จากนั้นตนได้ยืนรออยู่ที่หน้าร้าน ต่อมาทราบว่าผู้เสียชีวิตถูกยิงและเสียชีวิตแล้ว ยอมรับว่าช็อกมาก ทำใจไม่ได้ ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าผู้ต้องหายิงแฟนตนทำไม ขณะเดียวกันทางเพื่อนร่วมงานก็มาเล่าให้ฟังเพียงว่าผู้เสียชีวิตถูกยิง สำหรับผู้เสียชีวิตกับผู้ต้องหานั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตนมึนงงว่าทำไมผู้ต้องหาถึงก่อเหตุรุนแรง
นอกจากนี้ ก่อนเกิดเหตุเพียง 1 วัน ตนได้ทะเลาะกับผู้เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตได้เอ่ยปากบอกว่า "ลาก่อน" ซึ่งที่ผ่านมาหากทะเลาะกันเขาก็ไม่เคยพูดแบบนี้ ถือว่าเป็นลางสังหรณ์ ตนคบหาดูใจกับผู้เสียชีวิต 6-7 ปีแล้ว ภายหลังจากที่ผู้เสียชีวิตได้จากไปยังไม่ได้มาเข้าฝัน สำหรับลักษณะนิสัยของผู้เสียชีวิตเป็นคนร่าเริง ขี้เล่น แต่หากมีปัญหาจะไม่ค่อยมาปรึกษา และไม่ได้อารมณ์ร้อน
ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพกล้องวงจรปิดขณะผู้เสียชีวิตได้เข็นรถตะกร้าของร้าน เข้าไปในซอยลาดพร้าว 25 กลางซอยนั้น เนื่องจากผู้เสียชีวิตจะนำสินค้าไปเติมตู้เวนดิ้งของร้านสะดวกซื้อ และขณะที่ผู้เสียชีวิตได้หยุดดูโทรศัพท์มือถือนั้น เนื่องจากกำลังวิดีโอคอลคุยกับตนอยู่ ส่วนที่ผู้เสียชีวิตเดินกลับไปที่ร้านสะดวกซื้ออีกรอบ เพราะผู้เสียชีวิตลืมสินค้าอีก 1 ถุง โดยปกติแล้วผู้เสียชีวิตจะนำสินค้าไปเติมตู้เวนดิ้งอยู่เป็นประจำทุกวัน
ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าพ่อของผู้ต้องหาจะมาขอขมาศพผู้เสียชีวิตแล้ว ตนไม่สามารถให้อภัยคนร้ายได้ และไม่ขอพูดคุยด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินไป การเยียวยานั้นขอให้เป็นเรื่องภายในครอบครัวของผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้เสียชีวิต ชาติหน้ามีจริงตนขอให้กลับมาเจอกัน จะอยากบอกว่ารักเขา ตนยังรู้สึกว่าผู้เสียชีวิตยังวนเวียนอยู่ เนื่องจากตนนั้นขนลุก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่
ทั้งนี้ ตนไม่มีอะไรจะพูดถึงผู้ต้องหา การกระทำของผู้ต้องหานั้นน่าจะเกิดจากความมึนเมาประกอบกับอารมณ์ร้อน ซึ่งถึงแม้ว่าจะอ้างว่าป่วยเป็นจิตเวช แต่ผู้ต้องหามีอาวุธปืนควรไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่มาก่อเหตุแบบนี้ ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีผู้ต้องหาให้ถึงที่สุดประหารชีวิต ขอให้ชดใช้กรรมที่ก่อไว้
ต่อมาทางพ่อและครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้เดินทางมาถึงงานสวดอภิธรรม พ่อระบุเพียงสั้นว่า "หากความเป็นจริงจะมาขอขมาให้ผู้ต้องหา มาขอขมากับศพ ไม่ใช่มาขอขมากับผม เพราะเขาไม่ได้มาทำอะไรให้ตนเดือดร้อน แค่นั้นเอง" ส่วนเรื่องที่ครอบครัวของผู้ต้องหาจะเยียวยานั้น ทางครอบครัวไม่ขอรับ และยังไม่อยากจะชี้แจงรายละเอียด
นอกจากนี้ มีอดีตนายทหารมาร่วมงานด้วย ซึ่งไม่เคยรู้จักกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและตัวของผู้เสียชีวิตเอง แต่เมื่อจากทราบข่าวทางโทรทัศน์ก็รู้สึกว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าสลดและเห็นใจครอบครัวผู้สูญเสีย จึงมาร่วมแสดงความเสียใจ มอบรูปหลวงพ่อปัญญานันทภิขุให้แก่พ่อของผู้เสียชีวิต
นายนก (นามสมมติ) อายุ 32 ปี เพื่อนมหาลัยของผู้เสียชีวิต เผยว่า ตนนั้นทราบข่าวจากเพื่อนสมัยมหาลัย โดยได้นำข่าวมาแชร์ในกรุ๊ปไลน์ จากนั้นตนจึงเข้าไปดูในเฟซบุ๊กของผู้เสียชีวิต พบว่ามีกลุ่มเพื่อนไปแสดงความเสียใจ จึงแน่ใจและทราบว่าเป็นเพื่อนของตนจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนไม่ได้ติดต่อกับผู้ตายมานานแล้วภายหลังจากที่จบมหาลัยต่างคนก็ต่างแยกย้าย
ที่ผ่านมาผู้เสียชีวิตไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใคร ผู้เสียชีวิตมีลักษณะนิสัยเป็นคนอัธยาศัยดีน่ารักกับเพื่อนเสมอ และเฮฮา ขณะนี้ยอมรับว่าภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ตนรู้สึกแย่กับทางผู้ต้องหา ทำไมถึงทำร้ายกันได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยอมรับว่ารุนแรงเกินไป ส่วนที่ทางครอบครัวของผู้ต้องหาเผยว่าผู้ต้องหานั้นมีอาการป่วยทางจิตเวช หากป่วยทางจิตเวชจริง ทำไมถึงได้เป็นทหารได้ และทำไมไม่รักษาให้หาย อย่างไรก็ตาม อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีผู้ต้องหาให้ถึงที่สุด อยากให้ถึงขั้นประหารชีวิต แต่ความจริงก็คงไม่สามารถประหารชีวิตได้ ทั้งนี้ ก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย