วันที่ 31 ส.ค. 61 ภายหลังจากนายสุรสิทธิ์ พละศักดิ์ หรือ ฤๅษีร่างทรง ซึ่งมีแขนขาพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจที่ สภ.เมืองศรีสะเกษ หลังถูกแจ้งความว่าข่มขืนเด็กสาว วัย 17 ปี (อ่าน :
“พ่อปู่ฤๅษีตาไฟ” ปัดชำเราเด็ก 17 – ตร.แจ้งข้อหาพรากผู้เยาว์ เร่งตรวจดีเอ็นเอ )
ด้าน
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ มองว่านายสุรสิทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาคดีข่มขืนที่มีลักษณะเป็นคนพิการ มือทั้งสองข้าง หงิกงอ แขนขาไม่มีแรง อ้างว่าป่วยไม่สามารถข่มขืนได้ ต้องมีใบรับรองแพทย์มาประกอบว่าป่วยจริง ต่อให้มือเท้าหงิกงอ ก็ต้องมีใบรับรองแพทย์มาประกอบ เพราะยังสามารถก่อเหตุได้ แต่อาจจะยากลำบาก
ทนายรณณรงค์ ยังบอกอีกว่า หากเด็กอายุ 17 ปี สมยอมเอง พ่อแม่เด็กก็ยังสามารถแจ้งความเอาผิดผู้ก่อเหตุได้ฐานพรากผู้เยาว์ แต่ผู้ก่อเหตุจะไม่มีความผิดฐานข่มขืน หากผู้ก่อเหตุอ้างว่าระหว่างที่มีอะไรกันนั้นถูกผีสิงหรือปู่ฤๅษีเข้าสิง ได้ยินเสียงบอกให้ทำ ตามองเห็นภาพมีคนสั่งให้ทำ โดยแพทย์ลงความเห็นและมีใบรับรองว่ามีอาการทางจิตจริง ผู้ก่อเหตุก็จะไม่มีความผิด
ขณะเดียวกัน
ทนายรณณรงค์มองว่า ตราบใดที่อวัยวะเพศชายยังแข็งตัว ใช้งานได้ตามปกติ ก็สามารถไปก่อเหตุได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุข่มขืนจะเป็นคนปกติ ไปข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศกับคนพิการมากกว่า ตั้งแต่ทำคดีมายังไม่เคยพบคนพิการไปข่มขืนคนปกติ
คดีข่มขืนผู้ก่อเหตุโดยส่วนใหญ่จะใช้กำลังประทุษร้าย หรือมีการวางยา แต่สำหรับคดีดังกล่าว หากนายสุรสิทธิ์ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีเรี่ยวแรง แต่ก็อาจใช้วาจาหว่านล้อม ใช้คำพูดชวนเด็กให้มีเพศสัมพันธ์ โดยเด็กเป็นฝ่ายรุกเร้าหรือทำเอง แนวทางตัดสินก็คือเด็กสมยอม แต่กรณีนี้เด็กมีอายุเพียง 17 ปี คนที่มีเพศสัมพันธ์จะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-10 ปี และปรับตั้งแต่ 4 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท