คนทั้งประเทศจดจำ จิตดี ศรีดี ผู้ประกาศข่าวจากรายการ ทุบโต๊ะข่าว ได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เพราะเธอไม่มีอะไรจะพูด หรือไม่มีความคิดความอ่านแต่อย่างใด ในทางกลับกันสิ่งที่คนดูประทับใจในตัวเธอคือการเป็นลูกคู่ที่ดีเยี่ยมของพิธีกรฝีปากกล้า พูดในจังหวะที่ควรพูดและทำให้รายการดูกลมกล่อมขึ้น จากไหวพริบและความอดทนของตัวเธอเองตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เมื่อได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ได้เปิดใจทุกเรื่องราวในชีวิตตั้งแต่ในวัยเด็กไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองลำบากถึงแม้ครอบครัวไม่ได้มีเงินทองให้ แต่รู้สึกภูมิใจที่ทำให้ตัวเองได้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง พร้อมเผยความรักที่ขยับจากคำว่าเพื่อนที่มีให้กันมา 15 ปี ตอนนี้อยู่ในฐานะแฟน
ถาม ก่อนที่จะเข้ามาเป็นผู้ประกาศข่าว จิตดี มีวงโปงลางเป็นของตัวเองด้วย
จิตดี : จริงๆ เป็นของพี่ชายค่ะ เพราะว่าพื้นเพของคุณพ่อคุณแม่เจี๊ยบเป็นคนอีสาน แต่เขามาตั้งรกรากกันที่สามพราน (โรสการ์เดน) แล้วเจี๊ยบเกิด แล้วโตในสวนสามพราน และด้วยความที่ในธรรมชาติที่นั่น เขาเลี้ยงพนักงานดีมาก ดูแลดีมาก พอ เจี๊ยบเกิดมาก็ได้คลุกคลีกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ คุณแม่ของเจี๊ยบเป็นแม่บ้านของเจ้านายที่สวนสามพรานค่ะ ส่วนคุณพ่อก็เป็นนักแสดงเป็นศิลปะวัฒนธรรมในสวนสามพราน ซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้วนะคะ หมู่บ้านไทย เจี๊ยบก็ได้เลือดตรงนี้มา 100 เปอร์เซ็นต์เลยก็ว่าได้ สิ่งที่เจี๊ยบทำในวงคือรำไห เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบมาก และที่นี่เขาก็ดีอีก เพราะเขาจะจ้างลูกพนักงานมาฝึกดนตรีทุกเสาร์ อาทิตย์ เจี๊ยบก็จะมีรายได้ตั้งแต่เด็กๆ เลย เราก็จะได้ตีขิม ตีระนาด เขย่าอังกะลุง ตีกลองแขก
ถาม ลำบากไหม
จิตดี : ถามว่าลำบากไหม พ่อแม่ไม่ได้มีสมบัติพัสถานอะไรให้เลยค่ะ สร้างเองมาโดยตลอด เพราะว่าคุณพ่อเสียตอนเจี๊ยบ 10 ขวบ ป.4 ส่วนคุณแม่ก็ดูแลเจี๊ยบมาตลอด กินเงินเดือน เดือนชนเดือน แม่ก็เลี้ยงเรามา เจี๊ยบก็เรียน แต่ด้วยความที่เราโชคดี เจ้านายก็ใจดีอีกค่ะ ส่งจนเจี๊ยบเรียนจบม.6 ท่านก็ช่วยเหลือจุนเจือมา แล้วเจี๊ยบก็สอบติดมหาวิทยาลัยที่สงขลา เจี๊ยบก็กู้เงินกยศ. เรียนหนังสือจนเรียบจบ เราก็จะหาอะไรที่มาคอยซัพพอร์ตให้ตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ถาม ก่อนที่จะมาเป็นรายการทุบโต๊ะข่าวที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุคเลย ทั้งสองคนเคยอ่านข่าวคู่กันมาก่อนไหม
จิตดี : เคยที่เคเบิลทีวี เป็นข่าวดึกค่ะ นั่งคู่กันเลยค่ะ แล้วเราก็เลยสร้างประวัติการณ์ข่าวดึกตรงนั้น ซึ่งเรตติ้งพุ่ง ยอดไลฟ์สดก็พุ่ง ซึ่ง ณ วันนั้นเราก็พูดน้อยเหมือนที่ทุกคนเห็น ไม่มีการแบ่ง ไม่มีอะไร แล้วเราก็วางตัวด้วยความที่เราอาจจะเป็นคนช้าด้วย เป็นคนเนิบๆ แล้วพี่เข้าไว ตอนแรกเราก็อึดอัด เพราะเราจับทางเขาไม่ถูก แต่พอเราอยู่ไปเราก็เริ่มที่จะเรียนรู้ เวลาที่เขาโยนมา ใช่ไหม จิตดี เราก็ต้องงับให้ทัน ก็ต้องรู้ว่าเราจะต้องตอบตรงไหน บางทีเราตอบไม่ตรง เขาก็จะมีอาการจิ๊จ๊ะ อะไรอย่างนี้ ซึ่งเราก็จะเกิดการเรียนรู้ว่าเราต้องทำการบ้านเยอะๆ เราก็เคยงับไม่ได้บ้างก็มีนะคะ เพราะว่าข้อมูลมันเยอะ แต่พี่เขาคือเป็นคนที่เก่งมาก เล่าเรื่องเก่ง สมมติสคริปต์ในเนื้อเรื่อง ครอบครัวหนึ่งมี 5 คนอย่างนี้ พี่เขาจะจำๆ มีความสัมพันธ์กันยังไง บางทีเรางง เราอาจจะช้า แต่พี่เขาจะเร็วมาก มีการวาด โดยที่พี่เขาจะมีเทคนิคของเขาค่ะ เราก็จะเห็นวิธีการทำงานทั้งหมดทั้งมวลของเขาเลย พอเราเห็น เราก็จะแอบเก็บมาใช้บ้าง แต่เพราะพี่เขาไว ก็จะเป็นคาแรคเตอร์ของพี่เขา ซึ่งเราเป็นผู้ตาม บางทีเราอาจจะยังไม่ทัน ก็จะเป็นสไตล์จิตดีไป แต่จริงๆ เราเป็นคนที่พูดเก่งมาก เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบพูด คุยเก่งด้วย (หัวเราะ)
ถาม เรารู้สึกว่าเราถูกกดไหม
จิตดี : พี่เขาไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าถูกกดเจี๊ยบ นั่งตรงนั้น เจี๊ยบรู้สึกว่าเราจะทำยังไงให้คนที่ดูเราอยู่ ดูงานของเรา ดูเรื่องที่เรากำลังจะเล่า เพราะเราทำงานกันเป็นทีมค่ะ ไม่เคยว่าฉันจะต้องแย่งซีนเธอหรือเธอจะต้องแย่งซีนฉัน เจี๊ยบไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย ถามว่ามีบางเวลาที่เรารู้สึกน้อยใจบ้างไหม มีบางนะคะ เวลาที่เราถูกกดดันก็จะนอยด์ แล้วก็พี่เขาเป็นเหมือนอัจฉริยะข่าว เขาสามารถที่จะขมวดประเด็นแล้วใช่คำพูดภาษาชาวบ้านให้คนเข้าใจง่ายในเรื่องที่ยากๆ ซึ่งเจี๊ยบว่าน้อยคนมากที่จะทำแบบนี้ได้ โดยเฉพาะภาษากฎหมายหรือข่าวอะไรที่เป็นกฏหมาย ทำให้เข้าใจได้ง่าย แล้วกลับกลายเป็นว่าชาวบ้านดู เลยทำให้เรายอมรับในตัวพี่เขา แต่พอเรายอมรับเขา มันก็กลับกลายทำให้เรากดกันตัวเอง อยากให้ตัวเองทำให้ได้อย่างเขา ต้องให้ทันพี่เขา
ถาม อันหนึ่งที่ไม่ว่าใครได้ดูแล้วอาจจะเคยเป็นเลย พอได้นั่งดูรายการข่าวของคุณจิตดีกับคุณพุทธแล้วโกรธแทน หรือโมโหแทน เพราะเหมือนว่าเอาใจช่วยว่าเมื่อไหร่จิตดีจะได้พูดสักที เอาจริงๆ ตัวของจิตดีที่นั่งอยู่ตรงนั้น เคยไหมที่รู้สึกว่าเราน่าจะได้พูดบ้าง
จิตดี : ก็มีบางข่าวที่เรารู้สึกเราอยากจะพูดกลับ เราอยากจะตอบกลับ แต่ยังไม่มีจังหวะอย่างนี้ค่ะ เราก็จะเก็บไว้ในใจ พอเก็บไว้ในใจ เพราะไม่ได้พูดถูกไหมคะ แบบบางข่าวเรารู้สึกว่าเราอยากเข้าไปแหย่เขาอันนี้นะ แต่ก็ไม่ได้มีจังหวะเลย ได้แต่นึกอยู่ในหัวว่าอยากเข้าไปแหย่เขาเท่านั้น แล้วสุดท้ายพอไม่ได้ก็คือเก็บ
ถาม ร้องไห้ทุกวันหลังรายการจบ
จิตดี : เพราะว่าหลังจบรายการ ไม่ได้กลับบ้านเลยนะคะ แต่ว่าเราต้องมานั่งประชุมกันก่อนที่จะกลับ ประชุมกันยาวๆ แล้วก็เครียด กดดัน งานผิด ทำไมไม่อย่างนั้น อย่างงี้ เราร้องไห้เกือบทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งจำได้เลยเข้าไปในทีมใหม่ๆ ก็คืองง โดนด่า โดนดุเรื่องเล่าข่าวไม่ทัน เราโดนดุน้ำตาตก น้ำตาคลอ ลุกจากที่ประชุมเดินไปร้องไห้ในห้องน้ำ อันนั้นเป็นตอนแรกๆ เลยนะคะ ที่เป็นลูกน้องของพี่เขา แล้วพอสักพักหนึ่งตอนที่เรานั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ เราก็ได้ยินเสียงเขาตะโกนหาเราว่าเราไปไหน ไม่เห็นมาประชุม แต่เราก็นำเอาสิ่งที่พี่พุทธดุในที่ประชุมมาคิด เราต้องปรับปรุงตัวเอง
ถาม แต่ก็มีเหมือนกันที่น้ำตาคลอออกรายการเลย
จิตดี : ใช่ค่ะ จะมีช่วงหนึ่งที่การแข่งขันสูงมากสำหรับทีวีดิจิตอล เราก็ต้องทำการบ้านเยอะๆ มันก็มีเหนื่อยบ้าง ล้าบ้างที่จะหละหลวมไป แล้วเราก็ต้องรับความเป๊ะของพี่เขาให้ได้ พอไม่ทันใจหรือผิดเข้าอ เราโดนทุกวันๆ (หัวเราะ) แต่ที่เราน้ำตาคลอกลางรายการ เพราะพี่เขาระหว่างที่เล่า จะมีอาการเหวี่ยงใส่เรา พอเราโดนวันนั้นเข้าไป เรารู้สึกเสียใจ รู้สึกจุกอก เล่าต่อไม่ได้เลย แล้วด้วยความเครียดที่สะสมมาด้วยอยู่แล้ว พอมาถึงจุดหนึ่ง เราบอกตัวเองเลยว่าไม่เอาแล้ว เราจะลาออก แล้วพอเขาส่งมาให้เราพูด เราก็ไม่พูด แล้วน้ำตาของเราก็ไหล เขาก็หันมาเห็น ซึ่งตอนนั้นออกอากาศสดเลยค่ะ แต่ช่วงที่เขาดุเรา คือช่วงที่เบรกรายการ พอเราโดนดุ เราก็ร้องไห้เสียใจ พอเขาเห็น เขาก็ยังดุอีก จะจัดไหมรายการ แล้วพี่เขาก็เล่าๆ ของเขาคนเดียว พอเบรก เขาก็ถามเราว่าจะเอายังไง เราก็บอกเขาไปว่าไม่เอาแล้วค่ะ จะลาออก แล้วเขาก็เออ น้ำตาเราก็ไหล ออกรายการสด ตอนนั้นเราก็พยายามตั้งสติให้ตัวเอง เงียบสิๆ จะได้ต่อข่าวพี่เขาให้ได้ แต่พูดไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าพูด คนดูต้องจับได้แน่เลยว่าเรากำลังร้องไห้อยู่ และพอพักเบรกสุดท้าย พี่เขาก็ไม่พูดกับเรา เราก็โอเคคงจบกันแค่นี้ เราคิดตอนนั้นเบรกสุดท้ายยังไงฉันต้องพูดปิดรายการ ฉันจะลาคุณผู้ชม พอเราพูดส่งท้าย เสียงเราก็สะอื้น ก็สวัสดี แล้วก็จบรายการไป หลังจากนั้นพี่เขาก็ลุกแล้วก็ออกไปเลยค่ะ น้องๆ ในทีมก็วิ่งเข้ามากอดเรา เราก็บอกไม่เป็นไร พี่ไม่ไหวแล้ว ไม่อยู่แล้ว (เสียงสั่น) วันนั้นพี่เขาก็ไปนั่งรอเราอยู่ในห้องแต่งตัว แล้วก็ถามเราว่าไหนเป็นอะไร น้ำเสียงคือเปลี่ยนไปอีกเสียงหนึ่งเลยค่ะ เสียงอ่อนโยนเลยค่ะ เราก็บอกเขาว่า เจี๊ยบ ไม่อยู่แล้วพี่ ก็ได้เคลียร์ใจกันประมาณชั่วโมงครึ่งได้ ได้เปิดอกความรู้สึกหลายๆ อย่าง ซึ่งพอได้คุย เจี๊ยบกลับเป็นคนที่ต้องเข้าใจพี่เขาว่าพี่เขาเจออะไรมาบ้าง เพราะที่จะต้องแบกรายการหนึ่งที่เป็นรายการของช่อง แล้วพี่เขาก็เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการข่าว ความรับผิดชอบพี่เขาสูงมาก เยอะมาก ทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งที่เราเจอนิดเดียวมากๆ แล้วพี่เขาก็ขอโทษเราตอนนั้น
ถาม แต่ครั้งหนึ่งต่อให้เป็นผู้ประกาศข่าวคนหนึ่งที่ร้องไห้ทุกวัน รู้สึกว่าทำไมเราไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจเราอยาก แต่วันหนึ่งความภูมิใจที่เกิดขึ้นคือการได้รับรางวัลในสาขาอาชีพที่เป็นฝันของจิตดี
จิตดี : ใช่ค่ะ เจี๊ยบก็ไม่นึกเหมือนกันนะคะว่าจะมีคนเห็น จะมีคนรู้จักรายการทุบโต๊ะข่าว อันนี้ดีใจมาก โดยเฉพาะรางวัลแรก เจี๊ยบได้รับรางวัลผู้ประกาศหญิงที่สุดแห่งปี daradaily Awards ปี 2017 ดีใจมาก เป็นรางวัลแรกกับอาชีพนี้ที่เรารู้สึกว่าเราภูมิใจ มีคนเห็นรายการเราแล้วก็พี่พุทธเซอร์ไพรส์เราอีก มอบช่อดอกไม้กลางรายการ ซึ่งเขาไม่เคยทำ ดุมาตลอด แต่ก็มีโมเมนต์ที่น่ารัก
ถาม เราพูดถึงชื่อคุณพุทธมาตั้งแต่ต้น และคิดว่าเขาคงดูเราอยู่ตลอด อยากบอกอะไรกับคุณพุทธบ้าง
จิตดี : เจี๊ยบอยากจะบอกพี่พุทธนะคะ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราก็ยังเป็นทีมเดียวกันอยู่นะคะ พี่เขาก็ให้โอกาสเจี๊ยบมาโดยตลอดเรียกชื่อคุณจิตดี จิตดี จนคนรู้จักทั้งประเทศ อันนี้ถือว่าส่งน้องมาถึงจุดๆ หนึ่ง ซึ่งมันก็ส่งผลให้ชีวิตของเจี๊ยบมีความมั่นคงมากขึ้น ชีวิตดีขึ้น และมันมาจากความอดทนของเราด้วยส่วนหนึ่ง และความรัก ความปรารถนาดีของพี่เขา เจี๊ยบต้องขอบคุณมากๆ เลยนะคะ และคุณกอล์ฟก็จะเป็นคนคอยบอกว่าถ้าเขาด่าแล้วเราได้ดี ก็ให้เขาด่าไปเถอะ เขาจะพูดคำนี้ตลอดทำให้เรารู้สึกว่าในชีวิตของเจี๊ยบ มีผู้ชาย 2 คนที่สำคัญกับชีวิต ณ ตอนนี้ ก็คือพี่พุทธคนหนึ่งเลยที่ให้โอกาสเจี๊ยบมาตลอดจนได้ลืมตาอ้าปากนะคะ และผู้ชายคนนี้ คุณกอล์ฟ คนนี้ที่คอยซัพพอร์ตในเรื่องหลายๆ อย่าง ความรู้สึกและดูแลหลังบ้านเรา และอยากจะขอบคุณพี่พุทธนะคะ เรารู้สึกได้แม้ไม่ต้องมีคำชม ไม่มีต้องมีการแสดงอาการอะไร เราก็รับรู้ได้ว่าพี่เขาปรารถนาดีเพราะว่าจิตดีมีทุกวันนี้ได้เพราะพี่พุทธค่ะ
ถาม พี่พุทธคือผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้า แต่คุณกอล์ฟ ผู้ชายคนนี้คือคนที่อยู่เบื้องหลัง ครอบครัวว่าอย่างไรบ้างกับคนที่ดูแลเราอยู่เบื้องหลังบ้าง
จิตดี : ตอนแรกๆ เขาก็กลัวเหมือนที่ทุกคนคิดนั่นแหละค่ะ แต่พอเขาพิสูจน์ตัวเองให้แม่เห็นว่าเขาดูแลเจี๊ยบได้ดีมากๆ จนแม่บอกว่า เจี๊ยบ อย่าดุเขามาก พูดดีๆ กับเขาหน่อย บอกว่าอยู่ด้วยกันดีๆ ทำไมต้องไปพูดกับไม่ดีกับเขา
กอล์ฟ : เขาเป็นคนขี้เหวี่ยง ขี้วีน (หัวเราะ)
ถาม ถามดีกว่าเห็นว่าจุดเริ่มต้นของความรักของทั้งคู่ ไม่ได้เพิ่งเจอกันแต่เจอกันมานานแล้วตั้งแต่เด็กๆ แต่ว่าจุดที่ทำให้เกิดความรักคือคุณกอล์ฟ ทักเฟสบุ๊คไปหาจิตดี
กอล์ฟ : เรารู้สึกประทับใจเขาตั้งแต่เด็กๆ ก็คือ 15 ปีที่ผ่านมา เราจะนึกถึงตอนที่เราเรียนหนังสือด้วยกันตลอด เขาก็เป็นคนกตัญญู ไปรับงานรำช่วยที่บ้านตั้งแต่ตอนนั้นเด็กเลย ทำให้เราชอบเขาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วเขาก็จะมีบุคลิกที่ต่างจากเพื่อนๆเวลาเขาแกล้งผม เราก็จะไม่กล้าเอาคืนเขา เหมือนเพื่อนคนอื่น เหมือนเขาเป็นหัวหน้าแก๊ง ตัวเล็กแต่เป็นหัวหน้าห้อง เวลามีงานกลุ่มก็จะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
ถาม แปลว่าในระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมาไม่ว่า กอล์ฟจะไปใช้ชีวิตอะไร ทำอะไรที่ไหน ก็ยังคิดถึงเขาอยู่
กอล์ฟ : ยังนึกถึงครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้ว่าชอบ จะจีบเป็นแฟนอะไร แต่เหมือนมันติดอยู่ในใจเรา แต่ระหว่างทาง 15 ปี เราก็มีคนคุย มีแฟนนะครับ แต่ว่าถ้าตอนที่ติดต่อเขากลับไป ผมโสดพอดีตอนนั้น ในระหว่าง 15 ปี ก็ยังแอบส่องเฟสบุ๊คเขาอยู่ แต่ผมไม่ได้ดูเวลาที่เขาออกโทรทัศน์เป็นผู้ประกาศข่าวนะครับ เพราะว่าเวลาที่เห็นในโทรทัศน์ ผมจะเปลี่ยนช่อง เพราะว่าผมไม่อยากเจอ ผมกลัวว่าเจอแล้วจะต้องจีบ (จิตดีเขิน)
ถาม ถ้าพูดตรงๆ คือเราปิ๊ง จิตดีตั้งแต่ตอนเรียนแล้วถูกต้องไหม
กอล์ฟ : แต่เราไม่ได้คิดอะไรมากครับ เพราะว่าอาจจะยังเด็กอยู่ครับ
จิตดี : มิน่า หลบตาตลอด เราก็ยิ่งแกล้งเพราะว่าสนุก
กอล์ฟ : ตอนจบเราก็มีการแลกรูปกันวันนั้น เขามองผมด้วยหางตา แล้วเขาก็ยื่นรูปให้ แล้วเขาก็บอกว่าเอาไป
จิตดี : รูปเมื่อก่อนคือเอาไว้ทำสมุดเฟรนด์ชิพก่อนที่จะจบม.6 แล้วแยกย้ายกันไปใช่ไหมคะ ก็ไปถ่ายในกลุ่มของเราผู้หญิง แล้วก็จะมีรูปเดี่ยวที่จะทำเป็น 4 ช่องค่ะ เจี๊ยบก็จะอัดมาแล้วก็แจกเพื่อน แต่ไม่ได้ครบทั้งห้องนะคะ แต่พอมาถึงเขา เราก็อะเอาไป
กอล์ฟ : ตอนนั้นเราก็คิดว่าที่เขาให้เราเขาพอใจที่จะให้เราหรือว่าไม่ยังไง แล้วเราก็คิดไปอีกว่าหรือเขามีใจให้เราหรือเปล่า
ถาม แต่ใน 15 ปีนั้น รู้สึกว่าระยะเวลามันถูกทิ้งห่างไปยาวนาน กอล์ฟรู้สึกที่อยากจะติดต่อเจี๊ยบเขาก่อนหน้านั้นไหม
กอล์ฟ : โอ้โห 3-4 ปี ถึงจะแชตคุยกันสักครั้งหนึ่ง ผมก็จะแอบดูว่าเขามีแฟนหรือยัง ผมก็ถามเรื่องแฟนเขาตลอด ครั้งล่าสุดก่อนที่จะตัดสินใจจีบเขา เขาก็บอกว่าเขาคบทอมอยู่นะ แต่เราก็ในมุมมองผู้ชายครับ เราก็ยังนับว่าเขายังโสดอยู่
จิตดี : ซึ่งแฟนคนก่อนที่เป็นผู้หญิง เขาก็เป็นคนดีมากค่ะ
กอล์ฟ : เราคุยกับเขาตอนที่เราคิดว่าเราจะจีบเขา แล้วเราก็บอกเขาว่าเราโสดนะ ก็ลองนึกย้อนกลับไป 15 ปีแล้ว เราก็ไม่เคยเจอใครเหมือนเขา แล้วเขาก็ติดอยู่ในใจของเรา เขามีเสน่ห์ เวลายิ้ม เวลาหัวเราะเราตั้งใจว่ายังไงคนที่จีบก็ต้องเป็นเขาเลยก็คือ ทนไม่ไหวแล้ว คนนี้แหละ
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป