จากกรณี 2 คนร้ายบุกยิงนายอุทิศน์ จันทร์รัตน์ อายุ 68 ปี และนางบุญทิม จันทรัตน์ อายุ 68 ปี 2 สามีภรรยาเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์ ในพื้นที่หมู่ 3 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา เสียชีวิต เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา (อ่าน :
ลูกจ้าง ผวา “ลุง-ป้า” ถูกโจรใต้ยิง ลั่นไม่ขอกลับ กลัวเกิดเหตุซ้ำ ชี้ ร้านล่อเป้า ห่างไกลชุมชน)
น.ส.สุภาวดี จันทร์รัตน์ ลูกสาวผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ร้านเฟอร์นิเจอร์แบ่งเป็น 2 สาขาห่างกันประมาณ 5 กิโลเมตร โดยตนดูแลอีกร้านซึ่งเป็นสาขาแรกตั้งอยู่บริเวณแยกลำไพล วันก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ ช่วงเย็นมีลูกค้า 2 ราย เป็นคู่สามีภรรยาเข้ามาซื้อของที่ร้าน โดยทำทีเป็นเลือกสินค้า และมีการพูดกันเป็นภาษาญาวี ในทำนองให้กันตนออกไป ซึ่งตนพอฟังออกแต่ไม่ได้เอะใจ จากนั้นอีกประมาณ 30 นาที มีผู้ชาย 2 คน เดินเข้ามาในร้าน ซึ่งตนได้เข้าไปสอบถามทั้งคู่ระบุว่ามาจาก อำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ตรงกับสามีภรรยาที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ตนจึงถามว่า ทั้ง 4 คนรู้จักกันหรือไม่ แต่ทั้งหมดไม่ได้ตอบเพียงแต่มองหน้ากัน
จากนั้น หนึ่งในผู้ชายที่มารอบหลัง ได้ชวนตนคุยแถวหน้าร้าน ส่วนที่เหลือก็เดินกระจายทั่วร้าน ก่อนที่จะซื้อไฟฉายส่องตัดยาง 1 ชิ้นราคา 80 บาท ส่วนคู่สามีภรรยาไม่ได้ซื้อสินค้าใด ๆ และสิ่งที่เป็นข้อสังเกตคือ ผู้ชายทั้ง 3 คน มีกระเป๋าคาดเอวไว้ทั้งหมด จนช่วงเช้ามืดอีกวันเวลาประมาณ 03.30 น. เกิดเพลิงไหม้ที่ร้านตน ซึ่งตนนอนอยู่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเพื่อนบ้านโทรไปแจ้ง ตนจึงรีบกลับมาดูร้าน พบว่าเพลิงโหมหนัก เนื่องจากในร้านมีถังแก๊สกว่า 20 ถัง เมื่อสามารถดับไฟได้ พบว่าร้านเสียหายทั้งหมด เพราะแก๊สระเบิดไฟลุกขึ้นด้านบน ซึ่งมีที่นอนที่ตนซื้อมาขายเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
หลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบกระป๋องขนาดเล็กที่คาดว่าใช้ใส่ระเบิดตั้งเวลา ถูกซุกไว้ทางเข้าห้องนอนด้านหลังร้านใกล้กับที่ตั้งถังแก๊ส และอีกจุดคือบริเวณข้างตู้เฟอร์นิเจอร์ โดยตนสามารถจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย ที่เป็นคู่สามีภรรยา กับชาย 2 คนได้ จึงบอกรูปพรรณสัณฐานกับเจ้าหน้าที่ทำให้สามารถจับกุมได้ทั้งหมดภายใน 1-2 วัน ซึ่งก็พบว่าทั้ง 4 คนอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ก่อความไม่สงบของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันในวันเกิดเหตุไฟได้ไหม้ ร้านของพ่อแม่ตน เช่นกัน ซึ่งคนก่อเหตุเป็นคนละคนกับร้านตน โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในขณะนั้น และพ่อแม่ของตนก็ไม่ได้นอนภายในร้าน เนื่องจากไปนอนบ้านอีกหลังทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ซึ่งความเสียหายของร้านพ่อแม่น้อยกว่าร้านตน เพราะมีสินค้าน้อยกว่า โดยปกติตนก็ระมัดระวังตัวเองอยู่แล้วเพราะกลัวเรื่องการก่อความไม่สงบในพื้นที่ แต่หลังเหตุไฟไหม้ก็ต้องระวังมากขึ้น ด้วยการนั่งดูภาพจากกล้องวงจรปิดหลังร้านเพื่อสังเกตความผิดปกติ โดยให้ลูกน้องเป็นคนรับลูกค้า ซึ่งหลังเพลิงไหม้ทั้ง 2 ร้านต้องใช้เวลาเกือบ 3 ปี ในการปรับปรุงฟื้นฟู ก่อนกลับมาเปิดใหม่ซึ่งตอนนี้เข้าปีที่ 2 เท่านั้น
เจ้าของร้านค้าในพื้นที่ เล่าว่า ช่วงที่ไฟไหม้ ตนเพิ่งทราบเรื่องในช่วงเวลาประมาณ 05.00 น. ซึ่งขณะนั้น มีชาวบ้านในพื้นที่ออกมาช่วยกันดับไฟแล้ว โดยก่อนเกิดเหตุ ตนไม่พบความผิดปกติ เช่นเดียวกับช่วงที่เจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์ถูกยิง ตนปิดร้าน จึงไม่ทราบเรื่อง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เกิดเหตุ ตั้งเป็นร้านเดี่ยว ไม่ได้เกาะกลุ่มร้านค้าอื่น ๆ ซึ่งบ้านข้างเคียงก็ตั้งห่างกัน และช่วงกลางวัน มักไม่มีคนอยู่บ้าน
โดยหลังเกิดเหตุ ตนก็รู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น และพยายามเดินตามลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้าน เพื่อคอยสังเกตพฤติกรรมความผิดปกติ ทั้งนี้ ยังมีการติดป้ายเขียนข้อความ ขอความร่วมมือให้ลูกค้า เปิดผ้าคลุมหน้า หรือผ้าปิดจมูก เพื่อความปลอดภัย