วันที่ 10 ก.ย. 61 ภายหลังนายจักรพงศ์ อยู่แย้มศรี อายุ 34 ปี ผู้เสียหาย ชาวศรีสะเกษ พร้อมทนาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อเอาผิดตำรวจ สภ.อุทุมพรพิสัย ในข้อหาร่วมกันทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นายจักรพงศ์ เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุ 24 พ.ย. 60 เวลาประมาณ 17.00 น. ตนทะเลาะกับแม่เนื่องจากก่อนหน้านี้นอนป่วยมา 2 วันไม่ได้ออกไปไหน จึงจะขอยืมรถจักรยานยนต์แม่ขับขี่ไปข้างนอก แต่แม่ไม่ให้ยืมจึงมีปากเสียงกัน โดยยอมรับว่ามีการทำลายข้าวของโดยการปาแก้วลงพื้น จากนั้นแม่ก็เดินออกไปโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนตนก็กลับเข้าไปนอนในห้อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถกระบะมาจอดหน้าบ้านจึงเดินออกไปดู มีเจ้าหน้าที่ตำรวจลงจากรถและจะเข้าจับกุมตัวตนทันที ด้วยความตกใจจึงคว้ามีดปอกผลไม้ที่วางไว้บนแคร่ด้านข้างมาถือไว้ ตอนที่หยิบมีดมาถือเพียงทำไปตามสัญชาตญาณในหัวไม่ได้คิดอะไร โดยหยิบมาถือข้างตัวเท่านั้น ไม่มีการยกขึ้นมาชี้ขู่หรือจะทำร้ายเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
นายจักรพงศ์ เล่าต่อว่า จากนั้นตำรวจก็วิ่งออกไปหลบที่หน้ารถกระบะที่จอดบริเวณถนน ตนก็เดินไปหน้าบ้านผ่านหน้ารถตำรวจ ขณะนั้นต้องการที่จะไปให้ไกลจากตำรวจก่อนเพื่อตั้งหลัก แต่เดินผ่านรถมาถึงบริเวณถนนตรงกับฝั่งคนขับรถก็ได้ยินเสียงปืน 2 นัด เมื่อหันไปก็พบว่ารถมีประตูเปิดอยู่ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดประตูรถไว้แล้วยิงมาทางตนจากในรถ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยิงตนอีก 2 นัด บริเวณลำตัว จนตนฟุบลงกับถนน เจ้าหน้าที่จึงมาใส่กุญแจมือและเรียกรถกู้ภัยพาไปส่งโรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ซึ่งตลอดระยะเวลาการรักษาตัวตนถูกใส่กุญแจมือติดไว้กับเตียง โดยที่ตนก็ไม่เคยทราบว่ามีความผิดในข้อหาใด
นายจักรพงศ์ กล่าวต่อว่า เมื่ออาการทุเลาลง ประมาณกลางเดือน ธ.ค. 60 เจ้าหน้าที่ตำรวจก็นัดให้ตนไปพบที่ สภ.อุทุมพรพิสัย จากนั้นก็ให้ตนลงชื่อในเอกสารโดยที่ไม่ให้ตนอ่านเอกสารนั้น แล้วก็ให้ตนกลับบ้านได้โดยบอกว่าคดีของตนมีโทษเพียงการปรับเท่านั้น ซึ่งตำรวจจะออกค่าปรับให้ โดยที่เจ้าพนักงานสอบสวนไม่มีการยื่นสำเนาบันทึกการจับกุม หรือบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาให้กับตนเลย
เมื่อเซ็นเอกสารแล้ว ตนจึงเดินทางมาอยู่กับป้าและมารักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ เพราะรู้สึกว่าอยู่ที่ศรีสะเกษแล้วไม่ปลอดภัย ซึ่งป้าของตนได้โทรศัพท์สอบถามที่สำนักงานอัยการจังหวัดศรีสะเกษเรื่องคดีความ พบว่า ถูกดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติหน้าที่ ทำให้รู้สึกว่าคดีนี้มีความไม่ชอบมาพากล เหมือนเจ้าหน้าที่พยายามจะจับตนเข้าคุกเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง จึงมายื่นเรื่องต่อกองบังคับการปราบปรามเพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว
นายปริญ เกษะศิริ ทนายความของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ปลายเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ตนได้รับเรื่องจากญาติผู้เสียหาย จึงได้ขอดูเอกสาร เนื่องจากญาติแจ้งว่าหลานโดนยิง และโทรศัพท์สอบถามเจ้าพนักงานอัยการพบว่าเจ้าหน้าที่แจ้งความฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นข้อหาที่มีอัตราโทษสูง ตนจึงได้ขอดูเอกสาร เพราะปกติแล้วเมื่อมีการตั้งข้อหาจะมีแบบบันทึกการจับกุม หรือเอกสารการแจ้งข้อกล่าวหาให้ทนายดู แต่กรณีนี้ไม่มีเอกสารใด ๆ ให้นอกจากผลการตรวจรักษาจากแพทย์
จากนั้น ตนจึงได้ทำหนังสือให้ญาตินำไปยื่นที่สำนักงานอัยการศรีสะเกษ เพื่อขอให้อัยการสั่งคัดสำเนาเอกสารที่ต้องให้ผู้ต้องหาทั้งหมด และขอให้อัยการสั่งให้ตำรวจนำชุดแพทย์และชุดจับกุมมาให้อัยการสอบถาม เนื่องจากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งแพทย์เพื่อขอการรักษาพยาบาลว่ายิงไป 1 นัดเพื่อป้องกันตัว เพราะนายจักรพงศ์ถือมีดจะเข้าทำร้าย ไม่ตรงกับผลการตรวจรักษาของแพทย์ที่พบรอยยิง 4 จุด ได้แก่ บริเวณหน้าท้องด้านซ้าย ขาหนีบด้านขวา ก้นด้านซ้าย และก้นด้านขวา ซึ่งเป็นรอยกระสุนเข้าทั้งหมด
นายปริญ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลทั้งหมดทำให้ตนรู้สึกว่าคดีนี้มีความไม่ชอบมาพากล ราวกับว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานและทำร้ายบุพการี เพื่อให้รองรับกับเหตุที่สามารถยิงคนได้โดยถูกกฎหมาย ตนจึงมาแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามขอให้เอาผิดชุดจับกลุ่มและพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทั้งหมด เพื่อให้ดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่านายจักรพงษ์ และข้อหาแจ้งความเท็จ รวมถึงข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหากมีการสอบสวนพบ
ด้านพันตำรวจเอกภิญโญ สุทธิสาร ผู้กับการสถานีตำรวจภูธรอุทุมพรพิสัย ยืนยันว่า ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ ตำรวจเคยเข้าไประงับเหตุที่บ้านนายจักรพงษ์ วันเกิดเหตุนำกำลังไป 3 นาย เพื่อไประงับเหตุ นายจักรพงศ์มีอาการคลุ้มคลั่งถือมีดไล่แทง จังหวะที่กำลังเข้ามาใกล้นั้นทางเจ้าหน้าที่จึงต้องใช้ปืนยิงสกัดตามยุทธวิธี โดยยิงต่ำเพื่อไม่ให้โดนจุดสำคัญ มีรอยกระสุนเข้าและออกที่บริเวณหน้าท้องข้างซ้าย บริเวณเหนือขาหนีบซ้าย บั้นท้ายด้านซ้าย และด้านขวา ทั้งนี้ คดีอยู่ที่ชั้นอัยการ ในระหว่างการสอบสวน ตำรวจแจ้งข้อหาแก่นายจักรพงศ์คือ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานและฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว นอกจากนี้ ยังพบประวัติว่านายจักรพงศ์ เคยมีคดีติดตัว 3 คดี คือ ลักทรัพย์ เมื่อปี พ.ศ.2543 เกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ.2544 และทำร้ายร่างกายผู้อื่น เมื่อปี พ.ศ.2552 ด้วย