ผู้เสียหายกว่า 900 คน จากเหตุถังเคมีบริษัท หมิงตี้เคมีคอล ระเบิด เข้าแจ้งตำรวจ มูลค่าความเสียหายกว่า 380 ล้านบาท
จากกรณีเหตุถังบรรจุเคมีระเบิดและเกิดเพลิงไหม้ภายในบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ทำให้เกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง บ้านเรือนประชาชนนับร้อยหลังคาเรือนได้รับความเสียหาย รวมทั้งบริษัทในละแวกใกล้เคียง
พ.ต.อ.มงคล อ่อนแก้ว ผกก.สภ.บางแก้วสมุทรปราการได้เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายจากเหตูการณ์ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 5-9 กรกฎาคม 2564 รวม 4 วัน มียอดผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.บางแก้ว สมุทรปราการ แล้วจำนวน 944 ราย รวมมูลค่าความเสียหายจำนวน 380 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลนี้เป็นผู้เสียหายบางส่วนที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์เท่านั้นและยังมีผู้เสียหายที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบมูลค่าความเสียหายอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ รวมทั้งโรงงานข้างเคียงที่ได้รับความเสียหายก็ยังไม่ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ช่วงบ่ายวานนี้ (9 ก.ค.64) เจ้าหน้าที่ของบริษัทมหาชนจำกัดอัคคีปราการ ที่จะเข้าทำการเคลื่อนย้ายสารเคมีสไตรีนซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในถังบรรจุขนาดใหญ่ของบริษัทหมิงตี้เคมีคอล ไปทำลายจำนวน 6 แสนลิตร ได้จัดส่งผู้ชำนาญการเข้าดูหน้างานและจัดเตรียมสถานที่เพื่อทำการเคลื่อนย้ายสารอันตรายดังกล่าวออกไปทำลาย ขณะที่ทางบริษัท หมิงตี้เคมีคอล ได้นำรถแบ็กโฮมาทำการเคลียร์เส้นทางซากปรักหักพังออกจากพื้นที่เพื่อเคลียร์ทางให้รถโอโซนแท็งก์ขนาดความจุ 24 คิว ที่จะเข้าไปทำการถ่ายสารเคมีดังกล่าวนำไปทำลายเข้าไปประชิดตัวถังได้ให้มากที่สุด โดยนำทรายจำนวนมากมาเทปรับพื้นทำทางเข้าไป
แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ของบริษัทมหาชนจำกัดอัคคีปราการเข้ามาตรวจสอบแล้ว ทรายที่นำมาปรับเป็นเส้นทางเข้าออกของรถโอโซนแท็งก์ไม่สามารถรองรับน้ำหนักของรถโอโซนแท็งก์ได้ หลังจากเข้าไปโหลดสารเคมีดังกล่าวเข้าแท็งก์แล้ว จึงจำเป็นต้องยุติกระบวนการเคลื่อนย้ายสารเคมีดังกล่าวเอาไว้ ก่อนจะเข้าดำเนินการปรับเส้นทางเข้าอีกครั้งเพื่อให้รองรับน้ำหนักของตัวรถและน้ำหนักของสารเคมีที่ถูกโหลดเข้าในแท็งก์บรรจุแล้วได้ หรืออาจมีการปรับแผนในแผ่นเหล็กเข้ามาปูทับเพื่อรองรับน้ำหนักของตัวรถและสารเคมีซึ่งได้มีการนำรถโฮโซแท็งก์เข้ามาทดสอบการวิ่งเข้าออกด้วย
นายศุภวัฒน์ คุณวรวินิจ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการตลาดบริษัทมหาชนจำกัดอัคคีปราการ ได้เปิดเผยว่า เส้นทางที่เตรียมไว้ในการปฏิบัติการขนย้ายสารเคมีสไตรีนที่อยู่ในถังกักเก็บต้องถูกยกเลิก เนื่องจากเมื่อช่วงเช้ามีฝนตกหนักมากในพื้นที่ ทำให้พื้นที่ที่รถจะมาขนถ่ายไม่แข็งแรง กลัวว่าถ้ารถรับน้ำหนักแล้วออกมาพื้นทรุดก็จะเกิดปัญหาตามมา ส่วนเส้นทางที่จะเข้าไปนำสารเคมีนั้นมันมีระยะทางที่สั้นเกินไปอยากจะให้เข้าไปได้ใกล้กว่านี้เพื่อความปลอดภัย เพราะฉะนั้นต้องให้ทางเจ้าหน้าที่เตรียมทำทางเพิ่มขึ้นตัดทางใหม่ให้เข้าไปใกล้มากขึ้น
พรุ่งนี้เช้าจะเคลียร์ทางให้เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงเริ่มภารกิจใหม่โดยที่เตรียมอุปกรณ์มาพร้อมแล้วและจะเริ่มปฏิบัติการต่อในเวลาประมาณ 09.00 น. โดยก่อนเวลาปฏิบัติงานเราจะเข้ามาประเมินความเสี่ยงอีกครั้ง ทั้งเรื่องพื้นที่และสภาพอากาศถ้าเกิดมีการยุบตัวอาจจะต้องใช้แผ่นเหล็กมาวางเพื่อให้รถเข้าออกได้โดยทางเราก็พยายามทำงานให้เร็วที่สุดโดยจะนำสารเคมีสไตรีนไปทำลายที่บริษัทมหาชนจำกัดอัคคีปราการซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปูซอย 1 โดยรถแต่ละคันจะรับสารเคมีได้ประมาณ 25 คิว จะต้องขนถ่ายประมาณ 24 เที่ยว โดยคาดการว่าจะนำสารเคมีทั้งหมดออกไปทำลายได้ภายใน 5 วัน แต่ถ้าสภาพอากาศดีไม่มีอะไรติดขัดน่าจะเร็วขึ้นไม่เกิน 3 วัน
ส่วนวิธีการทำลายสารสไตรลีนโดยการนำไปเผาทำลายที่เตาเผาอุณหภูมิสูงที่มีความร้อน 1,000 องศาขึ้นไป โดยในประเทศไทยที่เป็นเตาเผาอุตสาหกรรมมีอยู่ที่เดียวที่คือบริษัทมหาชนจำกัดอัคคีปราการ ซึ่งเป็นเตาเผาของกรมโรงงานอุตสาหกรรมเองโดยที่ในประเทศไทยมีเพียง 2-3 แห่งเท่านั้น ที่สามารถจัดการกับสารตัวนี้ได้ ขั้นตอนการทำลายสารเคมีประเภทนี้ทำลายโดยการฉีดเข้าไปในเตาเผาเพื่อทำลายโมเลกุลต้องให้ความร้อนและเวลาในการเผาไหม้นานพอสมควร โดยคาดว่าจะเผาได้ชั่วโมงละ 3 ตัน แต่เรามองว่าความเดือนร้อนของประชาชนที่ต้องการที่จะกลับเข้าบ้านเรือน จึงจัดเตรียมแท็งก์หรือที่กักเก็บขนาด 600 ตันไว้ก็สามารถดูดและไปเก็บไว้ที่แท็งก์ได้เลยเพื่อทยอยทำลายต่อไป โดยระหว่างกักเก็บสารเคมีตัวนี้ไม่มีอันตรายโดยที่จริงสารเคมีตัวนี้เป็นสารเคมีปกติที่ใช้ในอุตสาหกรรมเรซีนอุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งทางบริษัทอัคคีปราการก็มีการไปรับสารเคมีตัวนี้มาทำลายบ่อยครั้งโดยสารตัวนี้เรารับมาแล้วเราก็ทำลายอย่างเร็วที่สุด