จากกรณีนายจักรพงศ์ อยู่แย้มศรี อายุ 34 ปี ชาวศรีสะเกษ เดินทางไปพร้อมทนายความ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อเอาผิดตำรวจ สภ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ในข้อหาร่วมกันทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ภายหลังจากที่ตัวเองทะเลาะกับแม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาระงับเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยิงตนเอง เพียงเพราะตนถือมีดออกมาจากบ้าน โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 60 ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น (อ่าน :
หนุ่มแฉถูก ตร. ยิง 4 นัด กลับโดนข้อหาพยายามฆ่า – ผกก.โต้คดีอื้อ ขนาดแม่ยังแจ้งจับ)
วันที่ 11 ก.ย. 61 ทีมข่าวอมรินทร์ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านเช่าแห่งหนึ่ง ม.15 บ้านดงขี้เหล็ก ต.สำโรง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ โดยพบว่าแม่ของนายจักรพงศ์ ได้ย้ายออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้ว สอบถามเพื่อนบ้าน ระบุว่า วันเกิดเหตุตนได้ยินเสียงนายจักรพงศ์ทะเลาะกับแม่ มีเสียงดังโวยวาย และขว้างปาข้าวของ แต่ตนอยู่หลังบ้านจึงไม่ได้ออกมาดู จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถตำรวจมา ก่อนจะมีเสียงปืนดังขึ้นประมาณ 3 นัด ซึ่งตนออกมาดูพบว่าเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายจักรพงศ์ส่งโรงพยาบาลแล้ว ทั้งนี้ ตนไม่เห็นเหตุการณ์จึงไม่ทราบว่านายจักรพงศ์ถือมีดไล่ฟันตำรวจหรือไม่ แต่ปกตินายจักรพงศ์เป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบมีปากเสียงกับแม่และน้องสาวบ่อยครั้ง
นางสุจิตรา ไชยสาร อายุ 55 ปี แม่ของนายจักรพงศ์ เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุลูกชายตนต้องการใช้รถจักรยานยนต์ของที่บ้าน แต่ตนต้องใช้ทำธุระต่อ จึงบอกว่าให้รีบไปรีบกลับ ลูกชายรู้สึกโมโหคิดว่าตนไม่ยอมให้ใช้รถ จึงโวยวายปาข้าวของ ตนจึงรีบโทรแจ้งตำรวจให้เข้ามาช่วยระงับเหตุ ระหว่างนั้นลูกชายตนยังถีบรถจักรยานยนต์ล้ม นอกจากนี้ยังจับตนเหวี่ยงกับพื้น ซึ่งตนได้พูดไปว่า "หากจะฆ่าก็ให้ทำเลย เพราะเหลืออดเต็มทีแล้ว" ซึ่งลูกชายก็ตอบกลับมาว่า “มึงจะเอายังไงกับกู” จนตนต้องวิ่งไปหลบที่บ้านของเพื่อนบ้าน
ระหว่างนั้นลูกสาวซึ่งป่วยเป็นดาวน์ซินโดรม ก็ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปตามตำรวจที่ สภ.อุทุมพรพิสัย ให้มาที่บ้าน โดยเมื่อตำรวจมาถึงและลงจากรถ 2 คน นายจักรพงศ์ที่อยู่ในบ้านก็วิ่งออกมา พร้อมถือมีดไล่ตำรวจ จนตำรวจที่อยู่ในรถอีก 1 นาย ต้องยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อขู่ให้หยุด ประมาณ 2 นัด แต่เจ้าตัวไม่หยุด ยังวิ่งมาหาตำรวจที่อยู่ในรถพร้อมยื้อเปิดประตูรถตำรวจ ซึ่งเมื่อเปิดประตูได้ เจ้าตัวก็จะแทงตำรวจ ตำรวจจึงต้องยิงใส่ตัว โดยกดต่ำจำนวน 2 นัด เมื่อลูกชายตนล้ม ตำรวจจึงแย่งมีดในมือออกมา ตนคิดว่าตำรวจทำตามหน้าที่ เพื่อป้องกันตัว โดยไม่เคยโกรธเคือง วันเกิดเหตุหากไม่มีตำรวจ ตนคงตายไปแล้ว โดยตำรวจก็ดีต่อตน ที่ผ่านมามักบอกให้โทรหาหากลูกชายคุ้มคลั่ง ทั้งนี้ พ่อของตนก็เป็นตำรวจ และสอนเสมอว่า ลูกตำรวจก็ไม่ควรอยู่เหนือกฎหมาย ตนจึงไม่คิดที่จะปกป้องลูก
นางสุจิตรา กล่าวต่อทั้งน้ำตาว่า ลูกชายตนเป็นคนโมโหร้าย และทำร้ายตนเป็นครั้งที่ 3 แล้ว รอบแรกคือบีบคอ ผลักให้ตนล้มก่อนใช้เท้ายันหน้าอกไว้ รอบที่ 2 คือเอามีดจ่อคอตน ซึ่งตนก็เคยพูดกับลูกชายว่า “หากตายแล้ว ก็ไม่ขอเกิด หากต้องเกิดมาเจอมึงอีก” จนมารอบล่าสุดที่เจ้าตัวจะทำร้ายอีกรอบ ซึ่งที่ผ่านมาตนต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวง กลัวลูกจะทำร้าย เมื่อมีปัญหาเจ้าของบ้านเช่าก็ไม่ให้อยู่ต่อ เพราะลูกชอบโวยวาย จนตนต้องตระเวนหาบ้านเช่าหลายที่
นางสุจิตรา ยอมรับว่า ลูกชายติดสารเสพติด และมีอาการทางจิต ซึ่งกำลังเข้ารับการรักษาตัว คาดว่าอาจมีส่วนที่ทำให้เกิดการคุ้มคลั่ง ตนไม่ได้สนใจเรื่องคดีของลูกชาย ช่วงที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็ไม่เคยไปเยี่ยม มีแต่ป้าซึ่งเป็นพี่สาวของสามีเป็นคนดูแล เพราะตนให้โอกาสลูกคนนี้มาหลายครั้งแล้ว หลังจากนี้ จึงขอปล่อยไปตามยถากรรม ส่วนที่ไปร้องกองปราบฯ ลูกชายน่าจะปรึกษาป้า ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะเจ้าตัวก็ย้ายไปอยู่กับป้าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล
ด้าน
พ.ต.อ.ภิญโญ สุทธิสาร ผู้กำกับการ สภ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ได้เปิดคลิปจากกล้องหน้ารถตำรวจในวันเกิดเหตุให้ทีมข่าวดู โดยภายในคลิปเป็นภาพที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งกำลังวิ่ง โดยนายจักรพงศ์ถือมีดวิ่งตาม ขณะที่หน้ารถอีกฝั่งเป็นน้องสาวของนายจักรพงศ์ กำลังวิ่งหนีเช่นกัน ก่อนจะมีเสียงดังแกร็ก ซึ่งผู้กำกับระบุว่าเป็นเสียงปืนจากในรถ ทำให้นายจักรพงศ์วิ่งกลับมาหาคนขับรถ
พ.ต.อ.ภิญโญ กล่าวว่า วันเกิดเหตุน้องสาวของนายจักรพงศ์มาแจ้งว่าพี่ชายกำลังจะทำร้ายแม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปราบปรามจำนวน 3 นาย จึงเดินทางไปยังบ้านหลังเกิดเหตุ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 2 นาย ได้ลงจากรถ ซึ่งเมื่อนายจักรพงศ์เห็นก็ถือมีดวิ่งไล่ฟันตำรวจ จนเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นายต้องวิ่งหนีแยกเป็น 2 ทาง คือวิ่งไปทางด้านหน้ารถตำรวจกับด้านหลัง โดยมีนายจักรพงศ์วิ่งตามเจ้าหน้าที่คนที่วิ่งไปทางด้านหน้ารถ ระหว่างนั้นตำรวจอีกรายซึ่งเป็นคนขับรถ จึงเปิดประตูและยิงปืนขึ้นฟ้าขู่จำนวน 3 นัด ซึ่งนายจักรพงศ์ก็ได้วิ่งกลับมาหาตำรวจรายดังกล่าว พร้อมมีการยื้อแย่งเพื่อเปิดประตูรถ เมื่อประตูเปิดออกอีกฝ่ายทำท่าจ้วงแทง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจยิงลงต่ำเพื่อระงับเหตุจำนวน 2 นัด โดยกระสุนเข้าที่บริเวณท้องน้อย 2 จุด และออกบริเวณก้นอีก 2 จุด ก่อนที่เจ้าตัวจะล้มลง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
ทั้งนี้
พ.ต.อ.ภิญโญ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามยุทธวิธี ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ เนื่องจากผู้ก่อเหตุเข้ามาจวนตัวแล้วจึงต้องยิงเพื่อให้หยุด ซึ่งแม่ของนายจักรพงศ์ก็มีพ่อเป็นตำรวจ ทำให้ครอบครัวรู้จักกับตำรวจที่ สภ.อุทุมพรพิสัยเป็นอย่างดี โดยชุดที่เข้าไประงับเหตุก็รู้จักกับเจ้าตัว รวมถึงไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกัน จึงยืนยันว่าไม่ได้ทำไปเพราะกลั่นแกล้ง
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้แจ้ง 3 ข้อหา แก่นายจักรพงศ์ คือ พยายามทำร้ายผู้อื่น กระทำรุนแรงในครอบครัว และพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งอีกฝ่ายก็เซ็นรับทราบข้อกล่าวหาตามปกติ เชื่อว่าอีกฝ่ายรู้ตัวดีว่ามีข้อหาอะไรบ้าง และที่ผ่านมานายจักรพงศ์เคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าไประงับเหตุอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งขณะนี้ได้รวบรวมสำนวนส่งอัยการแล้ว ส่วนที่อีกฝ่ายไปร้องกองปราบ ตนก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่ได้ชี้แจงผู้บังคับบัญชาไปตามลำดับชั้นเรียบร้อยแล้ว