จากกรณีกระแสในโลกออนไลน์ เมื่อชาวโซเชียลต่างร่วมกันแฉพฤติกรรมของ บอย สกล ที่อ้างว่าตัวเองเคยศึกษาในโรงเรียนชั้นนำของประเทศ ก่อนศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเผยแพร่ภาพที่ถือป้ายในงานกีฬาประเพณี จนเกิดแฮชแท็ก #บอยสกล ติดอันดับบนทวิตเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่ออกมาพูดถึงพฤติกรรมการกล่าวอ้างว่าชายรายดังกล่าว ไม่ได้เรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจริง โดยนายสกลอ้างว่าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 1 ปี ก่อนซิ่วไปเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อ่าน :
เสียงแตก! เพื่อน “บอย สกล” แฉขี้โอ่โชว์หรู ฝันเป็นลีดจุฬาฯ อีกฝ่ายห่วงรับกระแสถล่มไม่ไหว)
วันที่ 12 ก.ย. 61
ดร.สิทธิภัสร์ เอื้ออภิวัชร์ ผู้ช่วยคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.บูรพา เปิดเผยว่า นายสกลเข้ามาศึกษาที่คณะจริง ในภาควิชาวิศวกรรมเคมี ตั้งแต่ปี 2557 แต่เกรดเฉลี่ยสะสมไม่ผ่านเกณฑ์ เมื่อสิ้นปี 1 เทอม 2 ก็ถูกรีไทร์ตามระบบของมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ นายสกลได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้ารุ่นของนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ซึ่งในปีนั้น มีนิสิตจำนวนกว่า 700 คน โดยหัวหน้านิสิตจะมีหน้าที่ประสานงานกับสโมสรนิสิตคณะ แต่ไม่ได้อยู่ในสโมสร ซึ่งนายสกลเรียกเก็บเงินรุ่น โดยอ้างว่าจะนำมาใช้ในการทำกิจกรรม ซึ่งเป็นการเก็บเงินกันเองโดยที่ตนไม่ทราบ เนื่องจากทางคณะไม่มีนโยบายให้นิสิตเก็บเงิน เพราะมีงบประมาณที่จัดสรรไว้ให้นิสิตสามารถเบิกจ่ายได้สำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจำนวนเงินทั้งหมดที่นายสกลเก็บขณะนี้ อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ แต่ทราบว่ามีการรวบรวมเงินได้หลักแสน ในขณะที่ก่อนนายสกลถูกไทร์ออกจากมหาวิทยาลัยมีเงินรุ่นเหลือเพียงหลักพันเท่านั้น
อ.ดร.สิทธิภัสร์ กล่าวต่อว่า ภายหลังจากที่เป็นข่าว ตนได้สอบถามเพื่อนรุ่นเดียวกันของนายสกล ทราบว่าก่อนที่นายสกลจะออกจากมหาวิทยาลัย ได้มีการอ้างว่าเงินที่หายไปอยู่กับสโมสรนิสิต ซึ่งเมื่อตนไปสอบถามนายกสโมสรนิสิต ก็ได้ยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้นำเงินไป และยังไม่สามารถติดต่อนายสกลได้ โดยยังไม่มีผู้เสียหายมาร้องเรียนด้วย
ทั้งนี้ เรื่องผ่านมานาน 4 ปีแล้ว และเพื่อนของนายสกลนั้น ปัจจุบันก็ทำงานกันหมดแล้ว ทำให้ตนไม่แน่ใจว่าผู้เสียหายยังมีความประสงค์อยากจะรับเงินคืนหรือไม่ แต่ทางคณะยินดีจะเป็นตัวกลางประสานให้ต่อไป ขณะที่ห้องสโมสรนิสิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ พบว่านิสิตรุ่นเดียวกับนายสกลส่วนใหญ่จบการศึกษาและทำงานแล้ว
ด้าน
น.ส.มิ้นท์ (นามสมมติ) เหรัญญิกคณะ รุ่นเดียวกับนายสกล เปิดเผยว่า เมื่อปี พ.ศ. 2557 ที่ตนเข้ามาศึกษา มีการคัดเลือกประธานรุ่น โดยนายสกลได้รับเลือกเป็นประธาน ส่วนกรรมการรุ่นที่เหลือ นายสกลเป็นคนเลือกว่าจะให้ใครอยู่ในตำแหน่งใดบ้าง ตนไม่สนิทกับสกล แต่สนิทกับเพื่อนของนายสกล จึงถูกดึงมาเป็นเหรัญญิก โดยภายในรุ่นมีการเก็บเงินรุ่น 1,500 บาท ซึ่งหากใครจ่ายช้า จะเก็บเพิ่มอีก 200 บาท โดยตนยอมรับว่า มีบางคนที่ไม่จ่ายเงิน แต่สุดท้ายรวบรวมได้กว่า 800,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ
น.ส.มิ้นท์ เล่าต่อว่า เทอมแรกก็มีการจัดงานต่าง ๆ โดยมีงานใหญ่ เช่น งานลอยกระทง ซึ่งยังไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่ตนเป็นคนเซ็นให้เบิกเงิน แต่ในเทอม 2 ที่ตนไม่ค่อยได้เข้ามาทำกิจกรรม การเบิกจ่ายเริ่มมีพิรุธ โดยเวลาจัดงานต่าง ๆ นายสกลมักจะมาขอเบิกงบเพิ่ม โดยอ้างว่าเก้าอี้ไม่พอ อุปกรณ์ไม่พร้อม โดยเบิกไปทีละเล็กน้อย แต่บ่อยครั้ง รวมยอดเงินที่บอยเบิกไปแล้ว ไม่มีบิลมาคืนให้เกือบ 100,000 บาท ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีใครสงสัย จึงไม่ได้ตรวจสอบ เพิ่งมีการตรวจสอบในภายหลังจากที่พบว่าเงินรุ่นหายไปแล้ว
ต่อมา นายสกลก็มาบอกกับเพื่อนในรุ่นว่า จะซิ่วไปเรียนต่อที่จุฬาฯ และให้มีการตั้งคณะกรรมการรุ่นใหม่ จากนั้นก็เป็นช่วงปิดเทอม บางส่วนก็มาเรียนซัมเมอร์ แต่นายสกลไม่ได้มาเรียน แล้วคณะกรรมการชุดใหม่พบว่ายอดเงินในบัญชีรุ่นเหลืออยู่หลักร้อย จึงรู้สึกผิดปกติ และมาบอกตน ตนจึงติดต่อนายสกล เจ้าตัวก็อ้างว่าสโมสรนิสิตยืมเงินไป 100,000 - 200,000 บาท พร้อมทั้งส่งเอกสารให้ตนดูว่า มีการยืมเงินไปจริง ขณะนั้นตนก็เข้าใจว่าสโมสรนิสิตเป็นคนโกงเงิน ซึ่งนายสกลบอกให้ตนรวบรวมหลักฐานมาให้ จะให้ทนายเอาผิดสโมสรนิสิต จากนั้นเพื่อนในรุ่นจึงมีการเรียกประชุมกัน ซึ่งตนก็แจ้งนายสกลว่า ให้เจ้าตัวมาร่วมประชุมด้วย แต่นายสกลไม่มา ต่างจากนายกสโมสรนิสิตที่นำเอกสารมายืนยันว่า ได้มีการคืนเงินแล้ว ซึ่งเมื่อตนพยายามติดต่อนายสกลเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก รวมถึงมีการปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว ทำให้ค่อนข้างแน่ใจว่านายสกลเป็นคนนำเงินรุ่นไป ซึ่งเมื่อนำเงินที่นายสกลเบิกไปแล้วไม่มีบิล รวมกับเงินที่อ้างว่าสโมสรนิสิตยังไม่ได้คืน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 200,000 - 300,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเกิดเหตุ ตนพยายามติดตามเรื่อง โดยเข้าไปขอค้นเอกสารการเบิกถอนเงินจากธนาคาร พบว่าเป็นลายเซ็นของเหรัญญิกอีกคน ซึ่งเบิกนำมาให้นายสกล แต่ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดนายสกลได้ การติดตามเรื่องจึงไม่คืบหน้า แต่ขณะนี้ที่เพื่อน ๆ ทราบแล้วว่านายสกล ไม่ได้ซิ่วไปเรียนที่จุฬาฯ ตามที่อ้าง ทำให้เริ่มมีการกลับมาพูดคุยกันว่าจะรวมตัวประชุมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อที่จะเอาผิด โดยตนไม่หวังที่จะได้รับเงินคืน แต่อยากให้นายสกลได้รับโทษ