จากกรณีเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 64 เวลาประมาณ 14.55 น. น.ส.ไพลิน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี เข้าเเจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ว่าเป็นผู้ดูแล น.ส.ผ่องศรี มธุรณานนท์ อายุ 70 ปี พักอาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ในจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 12-14 ก.ค. 64 ไม่สามารถติดต่อกับ น.ส.ผ่องศรี ได้
จึงไปสอบถามบุคคลที่คอนโดฯ และกล้องวงจรปิด พบว่าเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 64 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้มีรถตู้หมายเลขทะเบียนกรุงเทพฯ สีขาว มารับ น.ส.ผ่องศรี ออกไป และหลังจากนั้น น.ส.ผ่องศรี ก็ไม่ได้กลับมายังคอนโดฯ ไม่สามารถติดต่อได้อีก
จากการตรวจสอบของตำรวจ พบว่ารถยนต์ตู้คันดังกล่าว หมายเลขทะเบียน ฮจ 1536 กรุงเทพฯ สีขาว มีนายนวฤทธิ์ วณิชจินดา อายุ 37 ปี เป็นเจ้าของรถ จึงได้ตรวจสอบการเดินทางของรถตู้คันดังกล่าวพบว่ามีการเดินทางในวันที่ 11 ก.ค. 64 ไปสถานที่ต่าง ๆ
เวลา 10.13 น. รับผู้ตายออกจากคอนโดฯ เวลา 10.40 น. ไปวัดศรีโสดาพระอารามหลวง เวลา 11.03 น. โครงการหลวง เกษตรแม่เหียะ เวลา 11.52 น. ไปร้านอาหารโบ๊ต ถ.ห้วยแก้ว ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เวลา 13.30 น. บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า เชียงใหม่ 2 ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ต.หนองป่าครั่ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ แล้วไปร้านเดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่ บ้านป๊อก ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เวลา 22.46 น. รถตู้กลับมายังคอนโดฯ โดยไม่มี น.ส.ผ่องศรี กลับมาด้วย
ตรวจสอบพบว่า สัญญาณโทรศัพท์ของ น.ส.ผ่องศรี ไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่เวลา 21.53 น. ของวันที่ 11 ก.ค. 64 จากไทม์ไลน์เชื่อว่า น.ส.ผ่องศรี หายไปตั้งแต่ออกมาจากร้านเดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่
ต่อมาวันที่ 16 ก.ค. 64 เวลาประมาณ 13.00 น. ชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ตรวจสอบพบว่านายนวฤทธิ์ พร้อมรถตู้ กำลังเดินทางอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย ได้ประสาน สภ.เมืองเชียงราย เข้าตรวจสอบและเชิญตัวมาพบที่ สภ.เมืองเชียงราย จากนั้นได้ประสานกับ พฐ.เชียงราย ทำการตรวจพิสูจน์รถยนต์ตู้ และชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เดินทางไปรับตัวนายนวฤทธิ์มาทำการสอบสวนปากคำที่ สภ.เมืองเชียงใหม่
จากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น. ตำรวจได้นำตัวนายนวฤทธิ์ เดินทางมาถึง สภ.เมืองเชียงใหม่ ชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้ซักถามปากคำนายนวฤทธิ์อย่างละเอียด พบว่ามีพิรุธและไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหลายจุด จึงได้เปิดข้อมูลพยานหลักฐานประกอบการสอบสวนปากคำ
กระทั่งนายนวฤทธิ์ยอมรับสารภาพว่าระหว่างขณะเดินทางกลับจากร้านเดอะ ไจแอนด์ มาตามถนนสันกำแพงสายใหม่ จอดรถยนต์ตู้ชิดขอบทางด้านซ้าย แล้วชวน น.ส.ผ่องศรี ลงจากรถ ใช้คำพูดว่าจะลงมาดูดาว นายนวฤทธิ์ใช้มีดปลอกผลไม้ปาดคอจำนวนหลายครั้ง กระทั่ง น.ส.ผ่องศรี ถึงแก่ความตาย แล้วลากศพลงไปทิ้งไว้ข้างทาง
จากนั้นขับรถตู้ เข้ามาในตัวเมืองเชียงใหม่ นำเอาสิ่งของเครื่องใช้ของ น.ส.ผ่องศรี ทิ้งลงถังขยะที่บริเวณหน้าโรงแรมแชงกรีล่า และขับรถนำสิ่งของอีกส่วนหนึ่งไปทิ้งขยะที่ริมถนนเลียบน้ำปิง ตรงข้ามร้าน VT แหนมเนือง จากนั้นขับรถกลับมาที่คอนโดฯ ของ น.ส.ผ่องศรี นำกุญแจเข้าไปไขห้อง น.ส.ผ่องศรี ลักเอาตู้เซฟขนาดเล็กใส่กล่องกระดาษถือลงมาใส่รถยนต์ตู้ ขับรถกลับบ้านที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
ชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ จึงได้นำตัวนายนวฤทธิ์ไปชี้ยืนยันจุดที่ก่อเหตุลงมือฆ่าและทิ้งศพ น.ส.ผ่องศรี บริเวณป่าริมถนนแม่ออน-แม่ตะไคร้ ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่
พบศพ น.ส.ผ่องศรี อยู่ในป่าขาลงจากดอย ห่างจากข้างทางประมาณ 25 เมตร อยู่ในสภาพนอนหงาย สวมเสื้อลูกไม้สีขาว กางเกงในสีน้ำเงิน ไม่สวมรองเท้า ลำคอมีร่องรอยบาดแผลถูกของมีคมหลายแห่ง ใกล้กันพบรองเท้าสวมผู้หญิงสีดำ 1 คู่ และมีดปลอกผลไม้ ด้ามจับสีดำ ยาวประมาณ 7 นิ้ว จำนวน 1 เล่ม ปักอยู่ที่พื้น
สำหรับแนวทางการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในเชิงลึก ทราบว่าในอดีตผู้ต้องหาเคยขับรถรับจ้างสี่ล้อแดงหรือรถสองแถวสีแดง วิ่งรับส่งผู้โดยสารในตัวเมืองเชียงใหม่ และผู้ตายได้มาใช้บริการจนเกิดความสนิทสนม ให้ผู้ต้องหามาดูแล ระหว่างนั้นได้ส่งข้อความไปทางโทรศัพท์หาผู้ต้องหาหลายครั้ง ภรรยาของผู้ต้องหาจับได้ ผู้ต้องหาจึงลวงผู้ตายออกจากคอนโดฯ ไปฆ่าทิ้งเพื่อตัดปมปัญหา
ล่าสุด วันที่ 17 ก.ค. 64 พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้เดินทางมาสอบสวนตัวของผู้ต้องหาด้วยตัวเอง ผู้ต้องหาก็ยอมเปิดปากรับสารภาพว่าก่อนเกิดเหตุ ได้คุยกับ น.ส.ผ่องศรี ว่าจะขอยืมเงินประมาณ 3-4 แสนบาท จะเอาไปตั้งเนื้อตั้งตัว แต่ น.ส.ผ่องศรี ตอบมาว่าสามารถช่วยได้แค่หลักหมื่นบาท
จากนั้นก็ขับไปตามที่ต่าง ๆ และเดินทางไปเอายาสมุนไพรที่วัดบ้านป๊อก อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ จังหวะนั้นตนก็คิดอยากจะได้เงินขอยืมก็ไม่ได้ จึงโมโหหน้ามืด จอดบริเวณจุดที่ลงมือฆ่า ใช้มีดแทงท้องซ้ำอีกจนตาย ส่วนกระเป๋าเงินของน.ส.ผ่องศรี พบเงินสดจำนวนอีกเกือบ 1 ล้านบาท
น.ส.ไพลิน หลานสาวของผู้ตาย อายุ 38 ปี เปิดเผยว่า น.ส.ผ่องศรี ผู้ตาย เป็นอาของตน ผู้ตายไม่มีครอบครอบครัว ไม่มีลูก ตนดูแลมากว่า 20 ปีเเล้ว ผู้ตายอาศัยอยู่ที่คอนโดฯ เพียงลำพัง เป็นคอนโดฯที่ผู้ตายซื้อไว้ ส่วนตนจะไปเยี่ยมทำความสะอาดห้องให้เป็นครั้งคราว ส่วนตนเพิ่งไปหาอาที่คอนโดฯเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา
ต่อมา วันที่ 12 ก.ค. 64 ติดต่อไม่ได้ วันที่ 13 ก.ค. 64 จึงไปตามหาที่คอนโดฯ แต่ไม่พบ จากการสอบถามคนข้างในคอนโดฯทราบว่ามีรถตู้มารับไปตั้งแต่เวลา 10.00 น. ของวันที่ 11 ก.ค. 64 ก่อนที่รถคันดังกล่าวจะกลับเข้ามาเมื่อเวลา 22.46 น. แต่ไม่มีอากลับมาด้วย ตนรู้สึกไม่ดี เป็นห่วงอามาก วันที่ 14 ก.ค. 64 จึงเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ให้ช่วยตามหาให้ พยายามคิดในแง่ดีว่าอาอาจยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งมาทราบจากตำรวจว่าพบศพ ตนรู้สึกเสียใจมาก ที่ผ่านมาอาเป็นคนชอบทำบุญ ชอบไปวัด ไม่เคยมีพิษมีภัยกับใคร ทำไมผู้ก่อเหตุจึงลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยม อยากถามว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ทำไมโหดร้ายขนาดนี้
ส่วนคำให้การของผู้ต้องหาที่พยายามอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอา ส่วนตัวไม่เชื่อ เพราะหากเป็นเรื่องชู้สาว เหตุใดจึงต้องย้อนกลับมาขโมยตู้เซฟของผู้ตาย คาดว่าอาคงให้ผู้ต้องหามารับมาส่งในฐานะรถรับจ้างจนเกิดความไว้ใจ ผู้ต้องหาทราบว่าอาอยู่คอนโดฯเพียงลำพัง ทราบว่าในห้องมีทรัพย์สินจึงมีการวางแผนล่อลวงออกไปฆ่า แล้วกลับมาขโมยเซฟ เชื่อว่ามีการวางเเผนมาเป็นอย่างดีเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์
ทั้งนี้ นิสัยส่วนตัวอาเป็นคนรักสันโดษ ชอบทำบุญ ชอบเที่ยววัด ที่ผ่านมาเวลาไปเที่ยวก็มักจะชอบนั่งรถแดงไปคนเดียวไม่เคยทราบมาก่อนว่าผู้ต้องหามารับอาหลายครั้ง เพราะอาไม่เคยบอก ตนก็ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จักผู้ต้องหามาก่อน
ตรวจสอบที่คอนโดมิเนียมที่ผู้ตายพักอยู่ รปภ.ที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่มีรถตู้มาจอดบริเวณหน้าล็อบบี้ เปิดเผยว่า ตนเห็นรถตู้มารับ-ส่งผู้ตายหลายครั้ง แรก ๆ จะจอดที่บริเวณปากซอย ผู้ตายก็จะเดินลงตึกมาหา และขึ้นรถออกไป และล่าสุดเข้ามาจอดภายในคอนโดฯ 2-3 ครั้งเท่านั้น
ทีมข่าวเดินทางไปยังจุดสุดท้ายที่ผู้ต้องหาพาผู้ตายไปก่อนลงมือฆาตกรรม ตำรวจได้ตรวจสอบสัญญาณจีพีเอส รถของผู้ต้องหาพบว่ามีการขับขึ้นมาบนดอยบ้านป๊อก ต.ห้วยแก้ว อ.แแม่ออน จ.เชียงใหม่ ก่อนถึงร้านเดอะไจเเอนท์ มีการจอดรถอยู่บริเวณด้านหน้าองค์หลวงพ่อทันใจ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ คนในพื้นที่ให้ความศรัทธานิยมมากราบขอพร ส่วนบริเวณรอบเป็นจุดชมวิว
คาดว่าก่อนเกิดเหตุ ผู้ต้องหาได้จอดรถในบริเวณดังกล่าว เพื่อให้ผู้ตายลงไปไหว้พระ หลังจากนั้นก็ขึ้นรถ แล้วพาลงจากดอย ก่อนจะลงมือฆ่าทิ้งศพไว้ข้างทาง จากการสอบถามไม่มีใครเคยเห็นผู้ตายหรือผู้ก่อเหตุมาก่อน เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยว มักจะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาตลอดเวลา
น.ส.สาทินี นางเมาะ ชาวบ้านในพื้น อายุ 34 ปี บอกว่า ที่ผ่านมาตัวตนเองขี่รถจักรยานยนต์ผ่านจุดพบศพทุกวัน เดินเลี้ยงวัวใกล้ ๆ กับจุดดังกล่าวเป็นประจำ ไม่เคยได้กลิ่นใด ๆ เลย ช่วง 1-2 วันก่อนพบศพก็มีเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงมาถางหญ้าข้างทางบริเวณนั้น ก็ไม่มีใครได้กลิ่นเช่นกัน สำหรับสาเหตุที่ชาวบ้านไม่ได้กลิ่น คาดว่ามาจาก 3 ปัจจัย เพราะช่วงนี้ฝนตกทุกวัน สภาพอากาศชื้นแฉะ ทำให้กลิ่นจะน้อยกว่าช่วงแดดแรง อีกทั้งเวลาเดินเลี้ยงวัวช่วงฝนตกหรือเปียกชื้น กลิ่นสาบวัวจะแรงจนกบกลิ่นเน่า รวมทั้งช่วงสถานการณ์โควิด ชาวบ้านจะสวมหน้ากากอนามัย ทำให้ไม่ค่อยได้กลิ่น
น.ส.พาทินี กล่าวว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าวในช่วงกลางคืนจะเปลี่ยวมาก แทบไม่มีรถผ่าน อยู่ห่างไกลจากชุมชน หากมีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้นก็จะไม่มีใครเห็นเลย ซึ่งตนเพิ่งทราบข่าววันนี้ว่ามีเหตุการฆาตกรรม ส่วนตัวรู้สึกหวาดกลัวมาก เพราะที่ผ่านในพื้นที่ไม่เคยเกิดคดีในลักษณะนี้ ถือเป็นเหตุสะเทือนขวัญคนในชุมชน มองว่าการกระทำกับคนแก่โหดร้ายเกินไป
ทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของนายนวฤทธิ์ วณิชจินดา อายุ 37 ปี ผู้ต้องหา ในพื้นที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ไม่พบคนอยู่ในบ้าน มีการล็อกกุญแจจากด้านนอก จากการสอบถามเพื่อนบ้าน บอกว่าบ้านหลังดังกล่าวมีผู้อาศัย 5 คน ประกอบด้วย ผู้ต้องหา ภรรยา และลูก 3 คน ลูกชายอายุ 13 ปี ลูกสาว 2 คน อายุประมาณ 10 ปี กับ 3 ปี ทั้งหมดได้ขนของออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 64
สำหรับอุปนิสัย ครอบครัวนี้เป็นคนอัธยาศัยดี โดยเฉพาะตัวผู้ต้องหา เคยพูดคุยทักทายกับตนอยู่เป็นประจำ ก่อนเกิดเหตุวันที่ 11 ก.ค. 64 เห็นผู้ต้องหาขับรถออกจากบ้านไปตั้งเเต่ช่วงเช้า ก่อนจะขับกลับเข้ามาที่บ้านช่วงกลางดึก ชาวบ้านก็ไม่ได้เอะใจ เพราะปกติแล้วผู้ต้องหาทำอาชีพขับรถตู้รับจ้าง ก็จะกลับบ้านดึกเป็นประจำอยู่แล้ว
หลังจากนั้น ช่วงสายของวันที่ 12 ก.ค. 64 ผู้ต้องหาและครอบครัวเก็บข้าวของขึ้นรถ ขับออกไปจากบ้าน บอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่เชียงราย แล้วก็ไม่เห็นกลับมาที่นี่อีกเลย ชาวบ้านก็ไม่ทราบว่าผู้ต้องหาไปฆ่าคนตาย เพราะยังดูปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกต จนกระทั่งมาทราบจากนักข่าวว่านายนวฤทธิ์ถูกจับกุมคดีฆ่าคนตาย ตนก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าคนที่เคยเห็นหน้ากันทุกวัน ยิ้มเเย้มทักทายกัน จะกลายมาเป็นฆาตกรที่โหดเหี้ยม
ทีมข่าวได้เดินทางไปยังร้านอาหารโบ๊ต ร้านที่ผู้ต้องหาพาผู้ตายมาทานอาหาร ในเวลา 11.52 น. ของวันที่ 11 ก.ค. 64 นายโต้ง อายุ 27 ปี เปิดเผยว่า ร้านนี้เป็นร้านประจำของผู้ตาย ที่ผ่านมาผู้ตายจะมาทานอาหารที่นี่บ่อยครั้ง มาเดือนละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปี เห็นมากับผู้ต้องหา โดยเมื่อก่อนจะขับรถแดงพาผู้ตายมา แต่ช่วงหลัง ๆ ก็จะขับรถตู้มานั่งทานข้าวด้วยกันในร้าน เท่าที่สังเกตส่วนใหญ่ผู้ตายจะเป็นคนจ่ายเงินค่าอาหาร
สำหรับอุปนิสัยของผู้ตาย เป็นคนน่ารักมาก เวลาที่ตนนำอาหารมาเสิร์ฟ ผู้ตายก็จะยิ้มให้ ละพูดขอบคุณทุกครั้ง 11 ก.ค. ทั้งคู่มาทานข้าวด้วยกันประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ยังเห็นพูดคุยกันปกติ ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกต จนกระทั่งเมื่อวานตำรวจมาขอดูกล้องวงจรปิดที่ร้าน จึงทราบว่าคุณยายหายตัวไปและเสียชีวิต