กรณีนายนวฤทธิ์ วณิชจินดา อายุ 37 ปี ก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.ผ่องศรี มธุรณานนท์ อายุ 70 ปี โดยการขับรถตู้ไปรับที่คอนโดเเห่งหนึ่งในตัวเมือง จ.เชียงใหม่ หลังจากนั้นได้พาตระเวนเที่ยววัด เเละทานอาหาร ก่อนออกอุบายให้ลงไปดูดาว จึงใช้มีดปลายเเหลมปาดคอจนเสียชีวิต เเล้วลากศพไปทิ้งข้างทาง บริเวณป่าริมถนนแม่ออน – แม่ตะไคร้ ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ จากนั้นได้กลับมายังคอนโดฯ ของผู้ตาย เพื่อขโมยตู้เซฟที่มีเงินสดกว่า 1 ล้านบาท ก่อนจะรีบหลบหนีไป จ.เชียงราย เเละถูกจับได้ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 18 ก.ค.64 ตำรวจ สภ.เเม่ออน ได้นำตัวนายนวฤทธิ์ วณิชจินดา อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.ผ่องศรี มธุรณานนท์ อายุ 70 ปี ไปทำเเผนประกอบคำรับสารภาพ 5 จุด ประกอบด้วยจุดฆ่า 1 จุด, จุดขโมยทรัพย์สิน 1 จุด เเละจุดทิ้งของ 3 จุด
โดยเริ่มจากจุดเกิดเหตุ ที่ลงมือฆ่าเเละอำพรางศพ อยู่บริเวณป่าริมถนนแม่ออน – แม่ตะไคร้ ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 19 – 20 ต.ห้วยแก้ว อ.ออน จ.เชียงใหม่ ตำรวจได้จำลองเหตุการณ์ เริ่มจากผู้ต้องหาขับรถตู้มาจอด มีผู้ตายนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุผู้ต้องหาได้บอกให้ผู้ตายลงไปดูดาว เเล้วทั้งคู่ก็เปิดประตูรถลงคนละฝั่ง เเต่จังหวะที่ลงผู้ต้องหาได้เอื้อมมือไปหยิบมีดที่วางอยู่บริเวณคอนโซนหน้า
เมื่อลงจากรถ ผู้ต้องหาได้วางมีดไว้ด้านหน้ารถตรงที่ปัดน้ำฝน ยืนรอผู้ตายเดินอ้อมหน้ารถมาหา ซึ่งผู้ต้องหาอ้างว่าได้เอ่ยปากขอยืมเงิน "ผมขอยืมเงินหน่อยครับ เท่าไรก็ได้" เเต่ผู้ตายบอกว่า "ไม่ให้" จึงเกิดความโมโหคว้ามีดเล่มที่เตรียมไว้เเล้วปรี่เข้าล็อกคอ ก่อนใช้มีดปาดลำคอเเละพยายามดึงผู้ตายเข้าป่า
ในขณะนั้นเริ่มมีฝนตก ทำให้พื้นเเฉะ ประกอบกับสภาพพื้นที่ลาดเอียง ทำให้ผู้ตายล้มนอนหงายลงที่พื้น โดยศีรษะหันเข้าป่า ส่วนปลายเท้าชี้ไปที่ฝั่งถนน เเล้วผู้ต้องหาก็พยายามลากร่างผู้ตายลงไปด้านล่าง โดยการจับคอเสื้อ เเต่ปรากฏว่าเสื้อขาด เนื่องจากพื้นดินลื่นจึงเปลี่ยนมาจับขาเเล้วลากลงไป
หลังจากที่ลากร่างผู้ตายลงไปทิ้งด้านล่าง ระยะทางห่างจากถนน 25 เมตรเเล้ว ผู้ต้องหาได้ปีนป่ายขึ้นด้านบน โดยที่มือยังถือมีดอยู่ เเต่เมื่อขึ้นมาได้ประมาณ 10 เมตร ปรากฏว่าลื่นล้มจึงปักมีดทิ้งไว้บริเวณนั้น เเล้วเดินตัวเปล่าขึ้นรถ ก่อนจะรื้อค้นทรัพย์สินในกระเป๋าของผู้ตายที่วางไว้บริเวณเบาะข้างคนขับ เเล้วขับรถต่อไปมุ่งหน้าอ.เมืองเชียงใหม่
โดยระหว่างการทำเเผน ผู้สื่อข่าวพยามสอบถามผู้ต้องหา ว่าอยากบอกอะไรกับญาติผู้เสียชีวิตหรือไม่ ผู้ต้องหาตอบเพียงสั้น ๆ ว่า "ขอโทษ" เเละไม่ตอบคำถามอื่น ๆ
จากนั้นตำรวจได้พาตัว นายนวฤทธิ์ ผู้ต้องหา ไปชี้จุดยังคอนโดฯ ของผู้เสียชีวิต เพราะหลังก่อเหตุผู้ต้องหาได้ขับรถตู้กลับมาจอดในคอนโดฯ บริเวณลานจอดรถชั้น 1 ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 3 เเล้วใช้คีการ์ดเปิดประตูห้องของผู้เสียชีวิต มีการเข้าไปขโมยตู้เซฟใส่กล่อง เเล้วถือลงมาใส่รถตู้ด้านล่าง ก่อนขับรถออกจากโรงเเรม ซึ่งระหว่างที่ผู้ต้องหาชี้จุดในห้อง มีเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เข้าไปเก็บหลักฐานต่าง ๆ ภายในห้องด้วย แต่ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนขึ้นไปเก็บภาพ
จากนั้นตำรวจนำตัวผู้ต้องหาไปชี้จุดทิ้งของ 3 จุด โดยผู้ต้องหานำเอาสิ่งของเครื่องใช้ไปทิ้งลงถังขยะที่บริเวณหน้าโรงแรมแชงกรีลา ก่อนขับรถนำสิ่งของอีกส่วนหนึ่งไปทิ้งขยะที่ริมถนนเลียบน้ำปิง ตรงข้ามร้าน VT แหนมเนือง
จากนั้นพาผู้ต้องหาไปชี้จุดทิ้งตู้เซฟ โดยหลังจากขโมยตู้เซฟ เเละทิ้งของตามทาง 2 จุดเสร็จเเล้ว ผู้ต้องหาได้ขับรถกลับบ้านที่อ.สันทราย เเล้วพยายามเปิดตู้เซฟเเต่ไม่สำเร็จ ก่อนที่วันรุ่งขึ้น (12 ก.ค.64) ขับรถนำตู้เซฟมาทิ้งในพงหญ้าข้างสระน้ำ ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนหลบหนีไป จ.เชียงราย
พ.ต.อ.คมสันต์ สอาดล้วน ผกก.สภ.เเม่ออน จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ผลจากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า มีหนี้สินอยู่ประมาณ 7-8 เเสนบาท เป็นค่าผ่อนรถกับค่าบ้าน โดยผู้ต้องหามีอาชีพขับรถตู้นำเที่ยว เเต่ช่วงโควิด-19 ลูกค้าซบเซาจึงวางเเผนพาผู้ตายไปเที่ยว เพื่อหวังจะให้ผู้ตายมีความสุข เเล้วจะขอยืมเงิน
โดยระหว่างที่กำลังขับรถ ได้ออกอุบายให้ผู้ตายลงไปดูดาว เเละได้ขอยืมเงิน เเต่ทางผู้ตายปฏิเสธไม่ให้ยืมเงิน ผู้ต้องหาอ้างว่าบันดาลโทสะจึงลงมือก่อเหตุ เเละได้เปิดกระเป๋านำเงินสดของผู้ตาย จำนวน 20,000 บาทไป แต่ว่ายังขัดเเย้งกับคำให้การที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ว่าได้เงินสดไปเกือบล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหามีสิทธิ์จะให้การอย่างไรก็ได้ เเต่ตำรวจจะใช้พยานหลักฐานในการดำเนินคดี ซึ่งเบื้องต้น สภ.เเม่ออน ได้เเจ้ง 4 ข้อหา ประกอบด้วยดังตอ่ไปนี้ 1.ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยใช้ยานพาหนะ 2.ลักทรัพย์ในเคหสถาน ในยามวิกาล 3.พกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ และ 4.ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ นอกจากนี้เตรียมนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.64)
ด้านนายบุญชัย นิติบดีบริรักษ์ ผู้จัดการคอนโด เปิดเผยว่า ผู้ตายมาซื้อคอนโดฯ ได้ 3 ปี โดยอยู่อาศัยเพียงลำพัง ที่ผ่านมาเป็นคนอัธยาศัยดี ทักทายกันเป็นประจำ หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ในฐานะผู้จัดการคอนโดฯ ก็รู้สึกเสียใจ โดยเมื่อวันที่ 13 ก.ค.64 ที่ผ่านมา หลานสาวของผู้ตายมาประสานว่าติดต่อผู้ตายไม่ได้ ตนจึงให้ช่างกุญเเจมาเปิดประตูห้อง ปรากฎว่าไม่พบตัวผู้ตาย จึงให้เปิดกล้องวงจรปิดดู ก็พบว่ามีรถตู้สีขาวขับเข้ามารับไป ตนจึงเเนะนำหลานสาวผู้ตายให้ไปเเจ้งความกับตำรวจ
สำหรับพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ จากการตรวจสอบพบว่าเคยมารับผู้ตายออกไปข้างนอกหลายครั้ง เป็นระยะเวลากว่า 4 เดือนเเล้ว โดยช่วงเเรก ๆ จะไปจอดเเอบอยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้ามาจอดในคอนโดฯ เเต่ช่วงหลังก็เริ่มขับเข้ามาจอดรับด้านใน จึงเชื่อว่ามีการเตรียมการและวางเเผนมาเป็นอย่างดีเเล้ว
เหตุการณ์ในครั้งนี้ส่วนหนึ่งตนขอชื่นชม รปภ. ที่มีความรอบคอบจดรายละเอียด เเละหมายเลขทะเบียนรถตู้ไว้ได้อย่างครบถ้วน ทำให้สืบหาตัวผู้ก่อเหตุง่ายขึ้น เพราะลำพังภาพจากกล้องวงจรปิดก็อาจไม่ชัด ซึ่งที่ผ่านมาตนมีการอบรม รปภ.ทุกคนเป็นอย่างดี หากมีรถจากข้างนอกที่ไม่ใช่รถในคอนโดฯ ต้องเเลกบัตร จดทะเบียน เเละจำรูปพรรณสัณฐานของคนขับด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทางคอนโดฯ จะเปลี่ยนกล้องวงจรปิดทั้งหมด เเล้วใช้กล้องที่ภาพชัดเจนขึ้น เเละเพิ่มความเข้มงวดกวดขัน รปภ.ให้มากขึ้น รวมถึงจะเเจ้งเตือนลูกบ้านว่า หลังจากนี้หากใครมีคนเเปลกหน้ามารับ ขอความร่วมมือให้เเจ้งรายละเอียดคนที่มารับกับทางคอนโดฯ รวมถึงเเจ้งสถานที่ที่จะไป หากเกิดเหตุไม่คาดคิด ทางคอนโดฯ จะได้สามารถประสานเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือทันท่วงที