เอกชนวอนนายกฯ ทบทวน ล็อกดาวน์ เอกชนวอนทบทวนล็อกดาวน์ ชี้ประกาศเคอร์ฟิวแต่ตัวเลขไม่ลด เรื่องเยียวยาก็ไม่ชัดเจน เหมือนซ้ำเติมประชาชน
วันที่ 20 ก.ค.64 ทางด้านประธานเครือข่ายเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ นายธีรวงศ์ สรรค์พิพัฒน์ ได้ขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการเคอร์ฟิว และหาแนวการบังคับใช้กฎหมายที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ไม่ให้เกิดผลเสียเกินความจำเป็นโดยรัฐบาลควรพิจารณายกเลิกเคอร์ฟิวบนข้อมูลเชิงสถิติว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดหรือไม่ ทั้งที่สร้างปัญหาตามมาในการบังคับใช้กฎหมาย และกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนในวงกว้าง การประกาศเคอร์ฟิวจะผลักแรงงานที่ทำงานในเวลากลางคืนเข้ามากระจุกตัวร่วมกับพนักงานในเวลากลางวัน ทำให้ความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้นกว่าสภาวะปกติ
ดังนั้นการแก้ปัญหาควรเน้นการกระจายตัวของประชากรเป็นสำคัญ ไม่ใช่การตัดปัญหาอย่างง่ายซึ่งเห็นได้จากการประกาศนโยบายเคอร์ฟิว ไม่มีส่วนสัมพันธ์กับอัตราการลดลงของผู้ติดเชื้อแต่อย่างใด ทั้งยังสร้างปัญหาในเชิงปฏิบัติ เช่น ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่สามารถเรียกรถสาธารณะได้, หน่วยงานกู้ภัยอาสาสมัครชุมชนไม่กล้าออกปฏิบัติหน้าที่ภายหลังระยะเวลาเคอร์ฟิว, กรณี BTS แล้วประชาชนกลับบ้านหลังสามทุ่มอาจกลายเป็น cluster ใหม่จากการเดินทางที่แข่งกับเวลา หรือกรณีแม่ค้าลงมาดูเนื้อหมูและไปซื้อน้ำแข็งแช่หมูกลัวหมูจะเสีย ระยะห่างไม่กี่เมตร กลับถูกดำเนินคดี เสียเงิน เสียเวลาไปขึ้นศาล ถูกคุมขัง ทั้งที่การกระทำดังกล่าวแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด และไม่ส่งผลต่อการแพร่เชื้ออย่างมีนัยยะแต่อย่างใด
เจตนารมณ์นโยบายแก้ปัญหาโควิดหัวใจในการแก้ปัญหาคือการลดการแพร่เชื้อในประเทศไม่ให้ประชาชนอยู่รวมกลุ่มกันจนอาจเกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ ในทางปฏิบัติกลับมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มรูปแบบซึ่งจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อหารดำเนินชีวิตของประชาชน เป็นการซ้ำเติมประชาชนทั้งที่เจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นเรื่องดี
การออกนโยบายของภาครัฐต้องทำบนพื้นฐานตัวเลขและปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว การสื่อสารที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา และแผนเยียวยาระยะสั้น กลาง ยาว ประกาศให้ประชาชนรับทราบเพื่อการเตรียมตัว และวางแผนการใช้ชีวิตประจำวัน ตระหนักว่าเพราะรัฐบาลไม่มีความชัดเจนในการเยียวยาที่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายครัวเรือน ประชาชนกบัวบ้าน รถ ถูกยึด หนี้บัตรเครดิต และหนี้อื่นที่เมื่อถึงกำหนดชำระต้องจ่ายพร้อมดอกเบี้ยอันเกินกำลังผ่อน ประชาชนจึงต้องออกมาเพื่อหารายได้เข้าจุนเจือครอบครัวทั้งที่ผลกระทบมาจากนโยบายและมาตรการโควิดของรัฐบาลโดยตรง
ภาครัฐควรแอ่นอกเป็นผู้รับผิดชอบเช่นสัตบุรุษไม่ใช่คนกาลกิณีนโยบายที่ทำแล้วไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การทบทวนถึงผลดีเสียความคุ้มค่าของโครงการภูเก็ต sandbox ว่ามีข้อเสียมากกว่าดี และควบคุมได้การแพร่เชื้อจากต่างชาติได้จริงหรือไม่ ไม่ควรย้อนแย้งกับนโยบายหลัก ควรปรับเปลี่ยนและประกาศให้ชัดเจน และใช้ข้อเท็จจริงทางตัวเลขในการวัดผลควบคุมนโยบายเป็นสำคัญ ไม่ปล่อยอีโก้นำจนสร้างผลกระทบ และความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ผิดควรถอยและสร้างทีมที่ปรึกษาที่มีคุณภาพในการให้ข้อเท็จจริงเพื่อการตัดสินใจ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง