จากกรณีที่นายชัยศักดิ์ ไกลวิชเลิศสกุล คนขับแท็กซี่ ก้มกราบรถก่อนปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดรถ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังควบคุมไม่ได้
วันที่ 20 ก.ค. 64 นายชัยศักดิ์ ไกลวิชเลิศสกุล คนขับแท็กซี่ เปิดใจว่า ตนขับรถแท็กซี่มา 10 ปี ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ช่วงโควิดระบาดรอบแรก ยังพอได้เงินวันละประมาณ 1,000 บาท พอช่วงโควิดระบาดรอบที่ 2 เริ่มไม่มีลูกค้า ล่าสุดค้างค่างวดรถ 7 เดือนแล้ว ต้องผ่อนรถเดือนละ 11,300 บาท ขณะเดียวกันวันที่ขับรถแท็กซี่ล่าสุด ขับตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึงเที่ยง ได้เงินเพียง 200 บาท แต่ต้องไปเติมแก๊ส 300 บาท หลังจากนั้นช่วงเย็นได้เงินเพิ่มมาอีกประมาณ 300 บาท รวมรายได้วันนั้นเป็น 500 บาท ยอมรับว่ารายได้ไม่พอใช้
ตอนนี้รายจ่ายเยอะ ต้องผ่อนบ้าน 4,000 กว่าบาท ผ่อนรถแท็กซี่ ผ่อนบัตรเครดิต ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายลูกสาวที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 1 ไม่มีรายได้ ลูกไม่มีเงินเรียนต่อ ต้องให้ลูกสาวดร็อบเรียนไปก่อน รวมค่าใช้จ่ายต่อเดือนแล้ว ประมาณเกือบ 20,000 บาท ยังไม่รวมค่ากิน ส่วนรายได้ตอนขับรถแท็กซี่ไม่แน่นอน ยิ่งช่วงโควิดหาเงินได้น้อยมาก
ส่วนแฟนตกงานเมื่อปี 2563 ทำงานแม่บ้านโรงแรม โรงแรมได้ผลกระทบ ต้องปิดกิจการไป ภรรยาจึงหางงานทางออนไลน์ เป็นแม่บ้าน แต่ก็ไม่ค่อยมีงาน ความรู้สึกตอนก้มกราบลารถแท็กซี่ ทำไปเพราะมีความผูกพันกับรถคันนี้ 7 ปี ยอมรับว่าไม่ไหวจริง ๆ ดิ้นรถทุกอย่างแล้ว จึงต้องคืนรถไป หลังจากเอารถไปคืน ก็ต้องมีภาระอีก ต้องไปว่ากันทางคดีตามระเบียบของไฟแนนซ์
"ยอมรับว่าเครียด นอนคิดทั้งคืนว่าต่อจากนี้จะทำอย่างไร จะพาครอบครัวรอดได้อย่างไร เพราะลูกก็ไม่ได้เรียนแล้ว ไม่รู้เทอมหน้าจะมีค่าเทอมไหม ตนเองอายุ 70 ปีกว่าแล้ว ไม่รู้จะไปเริ่มต้นทำงานอะไร ไปงานก็ไม่มีคนรับ ในชีวิตทำนา ทำงานโรงแรม แล้วมาขับรถแท็กซี่ จนมาพบปัญหาช่วงโควิด รอบแรก รอบที่ 2 ยังพอทนได้ แต่พอโควิดมาระบาดรอบที่ 3 ตนเองสู้ไม่ไหวแล้ว ชีวิตไม่น่ามาจบแบบนี้"
ไม่รู้ว่าสภาพบ้านเมืองจะฟื้นตัวเมื่อไร โควิดจะหมดไปเมื่อไร ถ้ายังเป็นแบบนี้ คนขับแท็กซี่ใครรอด ยอมนับถือน้ำใจ ถ้าไม่ไหว ให้จอด ขับไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น