วันที่ 20 ก.ย. 61 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกับกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบวัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.นาด้วง จ.เลย ภายหลังจากที่มีหญิงหลายรายร้องเรียนว่า เจ้าอาวาสวัดดังกล่าวมีพฤติกรรมลวงหญิงเข้าไปประกอบพิธีไล่สิ่งอัปมงคล ก่อนจะฉวยโอกาสกระทำอนาจาร ขณะที่เจ้าอาวาสที่ถูกกล่าวหายืนยันว่าไม่เคยประพฤติตามที่ถูกกล่าวอ้าง และพร้อมที่จะลาสิกขาเพื่อต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม (อ่าน :
เจ้าอาวาสปัดลวงสาวเข้าถ้ำ ทำอนาจาร ชี้เป็นกรรมเก่า พร้อมลาสึกสู้คดี – ปคม. ลุยตรวจวัด)
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ ต.ท่าสะอาด อ.นาด้วง จ.เลย โดย น.ส.ชมพู่ (นามสมมติ) ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า เมื่อครั้งที่ตนอายุ 20 ปี ได้เดินทางไปที่วัดถ้ำประกายเพชร พร้อมกับพ่อแม่ ยายและน้า เพื่อทำบุญ จากนั้นตนก็เจอกับพระรูปดังกล่าวได้ดูดวงผ่านลายมือ และบอกตนว่ากำลังมีเคราะห์ จะต้องทำพิธีอาบน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ โดยยายและน้ามีความเชื่อศรัทธาในพระรูปดังกล่าว จึงให้ตนเข้าร่วมพิธีด้วยการใส่ผ้าถุงกระโจมอก อาบน้ำมนต์บริเวณลานกลางแจ้ง
จนกระทั่งพิธีเสร็จสิ้น พระรูปดังกล่าวได้เห็นรอยสักบริเวณด้านหลังของตน จึงทักขึ้นมาว่า ยังมีสีหน้าไม่ค่อยดีมีเคราะห์หนักรออยู่ ประกอบกับมีรอยสักอยู่ด้านหลังซึ่งคาดว่าโดนของ รวมถึงในช่วงดังกล่าวตนเองกำลังมีปัญหาในชีวิต ยายและน้าก็เลยมีความเชื่อว่าจะต้องมีการประกอบพิธีตามที่พระรูปดังกล่าวแนะนำ โดยจะต้องบวชชีพราหมณ์จำวัด 7 วัน 7 คืน จากนั้นตนเองจึงตัดสินใจจำวัดอยู่ตามคำแนะนำ และญาติก็ได้กลับไปนำของใช้ส่วนตัวมาให้ที่วัด
หลังจากนั้น ตนเองได้นุ่งขาวห่มขาว บวชเป็นชีพราหมณ์ ปฏิบัติตามที่พระรูปดังกล่าวแนะนำ และในช่วงเวลาบ่ายของวันที่บวชวันแรก พระได้ชวนให้ไปเดินดูสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด พาเข้าไปชมภายในถ้ำว่าที่วัดมีกายภาพเป็นแบบไหนบ้าง จากนั้นก็ได้ชักชวนให้ตนเองไปที่กุฎิส่วนตัว เพื่อมีการตรวจดวงอีกครั้ง ซึ่งในขณะนั้นพระได้ให้ตนเองยื่นแขนออกมาเพื่อจับและตรวจดวง ส่วนตัวรู้สึกแปลกใจว่าทำไมพระรูปดังกล่าวจับต้องสีกาได้ แต่ขณะนั้นคิดเพียงว่าเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบพิธี
จากนั้นพระก็ได้นำเสื่อมาปูกับพื้นให้ตนเองนอน และเปิดเสื้อที่เป็นชุดขาวขึ้นมาประมาณหน้าอก จากนั้นก็มีการจับไล่ตั้งแต่หน้าท้องลงไปที่ท้องน้อย และบอกว่าโดนของแรงต้องมีพิธี
ต่อมาพระรูปดังกล่าวได้ออกอุบายให้ตนเองขึ้นไปนั่งบนโซฟาซึ่งนั่งสูงกว่าพระ จากนั้นพระรูปดังกล่าวก็ลงไปนั่งด้านล่างและบอกทำใจให้นิ่ง กำลังจะมีการตรวจดูว่าโดนของอะไรอีกหรือไม่ โดยขณะนั้นได้ยกขาข้างขวาของตนเองขึ้นมาพาดไว้ที่ไหล่ด้านซ้ายของพระ และบีบจับและนวดตั้งแต่ข้อเท้าไปบริเวณขาอ่อนเกือบถึงอวัยวะเพศ จากนั้นพระรูปดังกล่าวก็ได้บอกกับตนเองว่า ครั้งนี้โดนของแรงจะต้องมีการแก้ไขและสะเดาะเคราะห์ ซึ่งจะต้องมีการอาบน้ำมนต์ช่วงกลางดึกเพื่อล้างสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย โดยนัดหมายให้มาเจอในช่วงยามวิกาล ช่วงที่พระลูกวัดและคนในวัดนอนหมดแล้ว พิธีจะได้ศักดิ์สิทธิ์ ขณะนั้นยอมรับว่าตนเองก็นึกสงสัยว่าทำไมต้องมีการประกอบพิธีช่วงที่ไม่มีคนอยู่
หลังจากนั้น พระรูปดังกล่าวไปทำวัตรเย็นจนเสร็จสิ้นแล้ว และได้มาสอบถามตนเองว่า การกินการอยู่และการนอนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งลักษณะของการนอนจะเป็นการกางเต็นท์นอนในศาลา ซึ่งเต็นท์ทั้งหมดมี 5 หลัง แต่มีผู้เข้าร่วมปฎิบัติธรรมนอนจำวัดอยู่ 2 คน คือ ตนเองและเพื่อนที่มาจากจ.อุบลราชธานี จากนั้นพระได้สอบถามตนเองว่านอนเต็นท์ที่เท่าไหร่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงตอบไปว่าเต็นท์ที่ 2 เมื่อนึกขึ้นได้จึงกลัวเรื่องความปลอดภัยว่าพระรูปดังกล่าวจะย้อนกลับมาหา จึงได้ย้ายที่นอนไปนอนที่เต็นท์ที่ 4โดยไม่บอกให้พระหรือใครรู้ จากนั้นก็ขึ้นไปบริเวณชั้น 3 ของตึกที่นอน โทรศัพท์ไปแจ้งกับญาติที่บ้านว่าตนเองเจอกับเหตุการณ์อะไรแต่ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งตอนเช้ามีญาติมารับกลับไป เมื่อพระเจอกับญาติ พระยังพูดอีกว่า “ของในตัวเขาแรงไม่สามารถอยู่วัดได้” ต้องมีการประกอบพิธีของในตัวจึงจะหายไป จากนั้นตนเองก็กลับบ้านไปพร้อมกับญาติ
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ตนเองพยายามเล่าให้กับทุกคนฟังแต่ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 4 เดือน มีคนที่เข้าไปประกอบพิธีดังกล่าวเจอลักษณะคล้ายกัน จึงเริ่มมีคนเชื่อตามที่ตนเองเล่า แต่เหตุผลที่ไม่สามารถขับไล่พระดังกล่าวได้เนื่องจากยังมีผู้ที่ศรัทธาและเคารพในตัวพระ เพราะบางคนมาจากต่างจังหวัดเพื่อร่วมพิธีอาบน้ำมนต์และถวายปัจจัย
นางสาวชมพู่ ยังบอกอีกว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นยอมรับว่าตนเองมีสติทุกอย่าง ไม่ได้ถูกครอบงำหรือมึนเมาแต่อย่างใด ส่วนที่หลายคนโดนนวดด้วยน้ำมันบางอย่าง ทำให้รู้สึกตัวชาและควบคุมร่างกายไม่ได้นั้น ตนเองไม่ทราบเพราะไม่เคยโดน
ด้าน
นางเหลือง (นามสมมติ) อายุ 66 ปี ยายของน.ส.ชมพู่ เปิดเผยว่า หลังจากที่หลานโทรศัพท์มาแจ้งว่าถูกพระรูปดังกล่าวลวนลาม วันต่อมาตนจึงตัดสินใจไปรับหลานกลับมาจากวัด ซึ่งยอมรับว่าครั้งที่หลานโทรมาเล่าให้ฟังตนเองยังไม่ปักใจเชื่อ ยังบอกกับหลานว่าทนอยู่ไปก่อน แต่หลานก็ยืนยันว่าอยู่ไม่ได้ โดยหลานเล่าให้ฟังว่าพระเข้ามาสอบถามถึงเต็นท์ที่นอน ว่านอนอยู่เต็นท์ไหน แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นหลานไม่ได้โทรศัพท์มาบอกว่าถูกลวนลามในลักษณะใด ไม่บอกแม่กระทั่งว่าถูกจับขา จนกระทั่งเรื่องเริ่มมีคนพูดหนาหูมากยิ่งขึ้น ตนเองจึงสอบถามกับหลานสาวจนทราบข้อเท็จจริง ยอมรับว่าก่อนหน้าตนเองไม่เคยเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเริ่มมีคนพูด
ยายของผู้เสียหาย บอกว่าหลังจากที่ตนเองทราบข้อเท็จจริงแล้ว ตอนนี้หมดศรัทธาในพระรูปดังกล่าว เสียใจจนไม่นับถือแล้ว ยายยังบอกกับทีมข่าวว่า ตนทราบว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่ออีกจำนวนมาก และล่าสุดยังทราบว่าเป็นคนที่อยู่บ้านวังสะพุง ดังนั้นหลังจากที่พระมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมแล้ว ก็ควรต้องลาสิกขาออกไปจากความเป็นพระ แล้วไปมีภรรยาอย่างจริงจัง หากปล่อยไว้แบบนี้ก็จะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับคนอื่นต่อไป อยากให้มีหน่วยงานหรือคนเข้ามาปราบปราม