กรณี น.ส.ดาว อายุ 20 ปี ชาวไทใหญ่ ถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 หมายเลข 713517 งวดประจำวันที่ 1 ก.ค.64 ที่ผ่านมา จำนวน 1 ใบ โดยมีการตกลงกับนายจ้างซึ่งประกอบธุรกิจร้านประดับยนต์แห่งหนึ่ง ย่านคู้บอน ว่า นายจ้างจะเป็นผู้ไปขึ้นเงินรางวัล โดยจะให้เงินก้อน 1 ล้านบาท และทยอยให้เงินส่วนที่เหลืออีกเดือนละ 50,000 บาท
แต่สุดท้ายน.ส.ดาาว และแฟนหนุ่ม ได้ตัดสินใจลาออกจากงาน เพราะถูกกดดันใช้งานหนัก ไม่ขอรับเงินส่วนที่เหลือ จากนั้นต่อมาแฟนหนุ่ม ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับ เนื่องจากยังไม่ได้ต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าว แต่น.ส.ดาว ขึ้นทะเบียนถูกต้อง โดยคาดว่านายจ้าง น่าจะเป็นคนที่ให้เบาะแสเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่
ล่าสุดวันที่ 1 ส.ค.64 น.ส.ดาว แรงงานต่างด้าว กล่าวว่า ตนเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2560 มีการขึ้นทะเบียนแรงงานถูกต้องตามกฎหมาย ย้ายงานแล้วหลายที่ และได้เข้ามาทำงานส่วนขัดล้างที่ร้านประดับยนต์ ย่านคู้บอน ส่วนนายเดิน อายุ 20 ปี แฟนหนุ่ม ได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2561 โดยได้ทำงานอยู่ที่ร้านประดับยนต์แห่งนี้ ตำแหน่งช่างพ่นสี ได้ลาออกไปเมื่อต้นปี 2563 แล้วย้ายกลับมาทำอีกครั้งเมื่อปลายปี 2563 ตนจึงได้รู้จักกับแฟนหนุ่มที่นี่
โดยในวันที่ 26 มิ.ค.64 ที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของนายจ้างผู้หญิง นายจ้างจึงชักชวนตน แฟนหนุ่ม และคนงานที่เหลืออีกประมาณ 17 คน มากินข้าวที่ร้านส้มตำ นายจ้างบอกว่า "หยิบเลยคนละใบ เจ๊ซื้อให้" ซึ่งนายจ้างมีการพูดขึ้นด้วยว่า "ถ้าถูกรางวัลแล้วแบ่งกันคนละครึ่งนะ" ตนก็ยินดีมอบเงินครึ่งหนึ่งให้นายจ้างถ้าหากถูกรางวัล จากนั้นในวันที่ 1 ก.ค. 64 เวลาประมาณ 16.00 น. ตนได้ตรวจผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล รู้ว่าตนถูกรางวัลที่ 1 มูลค่า 6 ล้านบาท ตนจึงได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกส่งต่อให้เพื่อน ๆ ด้วยเสียงโห่ร้องของคนงาน ทำให้นายจ้างทราบว่าตนถูกรางวัล เดินเข้ามาถามตนว่า "จริงเหรอ ๆ" แล้วทำการตกลงกับตน บอกว่า "เดี๋ยวจะนำเงินไปขึ้นรางวัลให้ ไม่ต้องกลัว ไม่โกงหรอก เดี๋ยวเอาเงินก้อนใหญ่มาให้"
จากนั้นนายจ้างก็ได้บอกกับตนว่า "ขอให้ลบรูปที่ถ่าย" ตนรับปาก แต่ตนไม่ได้บอกนายจ้างว่ารูปได้ถูกส่งกระจายไปแล้ว นอกจากนี้ ในวันที่ 1 ก.ค. 64 เวลา 20.00 น. นายจ้างยังได้พาตนไปหาญาติผู้ชายคนหนึ่ง อ้างว่าเป็นตำรวจหรือทนาย มีการร่างสัญญาแต่ตนอ่านภาษาไทยไม่ออก นายจ้างเป็นคนอ่านสัญญาให้ตนฟัง สรุปใจความได้ว่า
1. เงินรางวัลต้องเสียค่าภาษี จำนวน 6 แสนบาท
2. เงินรางวัลต้องมอบให้กับคนร่างสัญญา จำนวน 2 แสนบาท
3. เงินรางวัลหลังจากที่ตนมอบให้กับเพื่อนร่วมงาน 16 คน คนละ 50,000 บาท รวมมูลค่า 8 แสนบาท ต้องหารเงินรางวัลกันคนละครึ่งกับนายจ้าง
ทั้งนี้ ตนได้ยกเงินให้เพื่อนร่วมงานอีก 16 คน คนละ 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 8 แสนบาท ซึ่งเงินของเพื่อนร่วมงานนี้ นายจ้างบอกจะไปจัดสรรแจกจ่ายให้เอง ตนก็ไม่รู้ว่าขณะนี้เพื่อน ๆ ได้เงินแล้วหรือไม่ ทำให้เงินทั้งหมดเหลือ 4.4 ล้านบาท เมื่อแบ่งเงินกับนายจ้างคนละครึ่ง ตนต้องได้รับคือจำนวน 2.2 ล้านบาท ส่วนนายจ้างต้องได้เงินจำนวน 2.2 ล้านบาท
4. นายจ้างจะให้เงินสดจำนวน 1 ล้านบาทกับตน แล้วจะผ่อนเงินส่วนที่เหลือให้เดือนละ 50,000 บาท จนครบจำนวน 2.2 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 4 ก.ค. 64 ตนก็ได้รับเงินสดจำนวน 1 ล้านบาท ทำการโอนเงินผ่านธนาคารกลับไปให้ครอบครัว 500,000 บาท แล้วโอนเงินกลับไปให้ครอบครัวแฟนอีก 500,000 บาท
จากนั้น ตนและแฟนก็ยังคงทำงานอยู่ที่ร้านประดับยนต์ แต่ตนสัมผัสได้ว่านายจ้างและครอบครัวนายจ้างแปลกไป ไม่ยอมพูดคุยและใช้งานหนักกว่าปกติ อีกทั้งยังต่อว่า สั่งว่า "หากงานไม่เสร็จห้ามกลับ" คล้ายกับบีบให้พวกตนออกจากงาน ตนและแฟนจึงตัดสินใจลาออกในวันที่ 23 ก.ค. 64 ซึ่งตนและแฟนหนุ่มตัดสินใจว่าจะไม่ขอรับเงินส่วนที่เหลือ เพราะที่ได้รับมาก็จำนวนมากแล้ว
กระทั่งในวันที่ 29 ก.ค. 64 เวลา 14.00 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาจับกุมแฟนของตนที่ห้องพัก ตำรวจพูดว่า "น่าจะรู้นะว่าใครแจ้งให้มาจับ" ทำให้ตนฉุกคิดว่าน่าจะเป็นอดีตนายจ้างที่แจ้งเบาะแส เพราะนายจ้างเป็นคนจัดสรรพามาให้เช่าอยู่
ขณะนี้แฟนหนุ่มถูกควบคุมตัวอยู่ศาลจังหวัดมีนบุรี ซึ่งตนจะต้องไปจ่ายค่าปรับให้กับศาลจำนวน 3,000-4,000 บาท ขณะนี้ตนมีเงินติดตัวเหลือเพียง 10,000 บาท จากนั้นศาลจะส่งตัวแฟนหนุ่มของตนกลับมาที่ สน.คันนายาว ช่วงวันจันทร์ที่ 2 ส.ค. ก่อนจะส่งตัวไปที่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง ตนไม่อยากมีปัญหากับใคร เงินไม่ได้ตามจำนวน ตนก็ไม่เอา แต่ขณะนี้แฟนตนถูกจับ ตนไม่เข้าใจว่านายจ้างทำแบบนี้ทำไม จึงอยากเรียกร้องความยุติธรรม
ทีมข่าวเดินทางไปยังร้านประดับยนต์ อดีตนายจ้างของน.ส.ดาว ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ โดยพาทีมข่าวมายังบ้าน ตั้งอยู่ด้านหลังของร้าน เป็นบ้านของญาติ เป็นเจ้าของที่ดินร้านประดับยนต์ และบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ใช้ในการร่างสัญญา จากนั้นเมื่ออดีตนายจ้างหญิง ได้เข้าไปพูดคุยกับญาติชาย อดีตนายจ้างก็ได้เชิญให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปพูดคุยภายในบ้าน อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปเพียงลำพัง ไม่อนุญาตให้ช่างภาพเข้าไปบันทึกภาพ
อดีตนายจ้างหญิง บอกว่า ฝ่ายนายจ้างรับแฟนของน.ส.ดาวไว้เพียงชั่วคราว เพราะแฟนของน.ส.ดาวไม่มีบัตรอนุญาต ด้านญาตินายจ้างที่เป็นผู้ชายก็ได้พูดเสริมว่า "รางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน" อีกทั้งคนงานที่พูดถึงไม่มีบัตรแรงงานต่างด้าว จึงไม่น่าจะซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือนำไปขึ้นเงินรางวัลได้
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า "น.ส.ดาวขึ้นทะเบียนแรงานแล้วน่าจะไม่เป็นอุปสรรคหรือไม่" ทำให้อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อดีตนายจ้างหญิงจะบอกว่าน.ส.ดาวและนายเดินลาออกไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเหนื่อย แต่จริง ๆ แล้วเรียกว่าลาออกไม่ได้ เพราะนายจ้างรับเพียงชั่วคราว ส่วนลอตเตอรี่เป็นของนายจ้าง เพราะนายจ้างเป็นผู้ซื้อให้
"ผู้สื่อข่าวถูกน.ส.ดาวหลอก น.ส.ดาวโกหก ใครจะซื้อลอตเตอรี่ที่ไหนอย่างไรนั้นไม่ทราบ แต่นายจ้างไม่ได้พาไปกินเลี้ยง นายจ้างไม่ได้ซื้อลอตเตอรี่ให้ใคร"
ทีมข่าวได้พูดคุยญาติของอดีตนายจ้าง สอบถามเป็นผู้สื่อข่าวจริงหรือไม่ ขอดูนามบัตร และกล่าวหาว่าเป็นผู้สื่อข่าวปลอม ผู้สื่อข่าวจึงได้เปิดลิงก์ข่าวของรายการทุบโต๊ะข่าวให้ดูแทน ญาติของอดีตนายจ้างต่อว่าผู้สื่อข่าวว่า "ทำไมไม่ไปทำข่าวอื่นที่มีประโยชน์มากกว่านี้ ทำไมต้องมาสนใจเรื่องของชาวต่างด้าวที่อ้างว่าถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1" ซึ่งผู้สื่อข่าวยังไม่ได้บอกว่าน.ส.ดาวถูกรางวัลที่เท่าไร
จากนั้นจึงได้สอบถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าน.ส.ดาวถูกรางวัลที่ 1 ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ กักตัวผู้สื่อข่าวไว้ภายในบ้าน พูดจาเสียงดัง แล้วโทรศัพท์หาทนายความ อ้างกับทนายว่าผู้สื่อข่าวบุกรุก ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้เชิญให้เข้าบ้านเอง บอกให้ผู้สื่อข่าวห้ามออกจากบ้าน จนกว่าทนายจะเดินทางมาถึง แต่เนื่องจากทนายความติดภารกิจ จึงไม่สามารถเดินทางมาได้ อีกทั้งญาติของอดีตนายจ้างยังได้โทรหานายตำรวจรายหนึ่ง ตำแหน่งเป็นถึงรองผู้บังคับการตํารวจภูธรอยู่ที่จังหวัดหนึ่ง มีการบอกนายตำรวจว่าผู้สื่อข่าวฟังความข้างเดียว ทำให้นายตำรวจรายนี้ตัดบทสนทนา ด้วยการบอกกลับมาว่า "ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง"
สุดท้ายแล้ว อีกฝ่ายก็ได้ปล่อยตัวผู้สื่อข่าวออกมาจากบ้าน ได้ถ่ายรูปผู้สื่อข่าวไปพร้อมบอกว่าจะฟ้อง หากมีการนำเสนอข่าวหรือนำเสนอให้เสื่อมเสีย ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์กลับไปหานายตำรวจที่อีกฝ่ายโทรหาก่อนหน้านี้ เพื่อสอบถามว่าทำไมอดีตนายจ้างและญาติเป็นใครถึงข่มขู่ผู้สื่อข่าวแบบนี้ได้ ซึ่งนายตำรวจบอกว่าญาติของอดีตนายจ้างเป็นอดีตทนาย ขณะนี้ปลดเกษียณแล้ว และเป็นเจ้าของที่ดินหลายแปลงในย่านคู้บอน
ทีมข่าวได้เดินทางไปยังร้านส้มตำย่านคู้บอน เป็นร้านที่นายจ้างพาน.ส.ดาวและแฟนหนุ่มไปกินเลี้ยงฉลองวันเกิดของนายจ้าง โดยน.ส.ตันหยง พรหมศรี อายุ 23 ปี เจ้าของร้านส้มตำ เปิดเผยว่า ตนจำได้ว่าเมื่อปลายเดือนมิ.ย.64 ที่ผ่านมา มีนายจ้างผู้หญิง 2 คนพาคนงานมากินอาหารที่ร้านเกือบ 20 คน ในเวลาที่กำลังจะเคลียร์ค่าอาหาร ได้มีคนขายลอตเตอรี่ผู้หญิงเดินผ่านมาพอดี นายจ้างคนหนึ่งจึงได้เรียกคนขายเข้ามา พร้อมบอกให้ลูกจ้าง "หยิบเลย ๆ" ตนไม่คุ้นเคยกับคนกลุ่มดังกล่าว และจำไม่ได้ว่านายจ้างและคนงานนั้นพูดคุยอะไรกันบ้าง ไม่ทราบว่าระหว่างสองฝ่ายคุยตกลงอะไรกันถึงเงินรางวัลหากลอตเตอรี่ถูกรางวัล แต่ตนยืนยันได้ว่า นายจ้างเลี้ยงอาหารและซื้อลอตเตอรี่ให้คนงานจริง
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้ติดต่อสอบถามไปยัง นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ ให้ข้อมูลว่า บุคคลต่างด้าวสามารถขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ หากมีใบอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้การที่นายจ้างให้เงินลูกจากไปซื้อลอตเตอรี่ หรือให้ลูกจ้างเลือกลอตเตอรี่ แล้วนายจ้างจ่ายให้ ถือเป็นการยกลอตเตอรี่ให้แต่ลูกจ้าง ซึ่งจากข้อมูลบรรดาลูกจ้างที่เลือกลอตเตอรี่ในงานวันเกิดของนายจ้าง สามารถเป็นพยานได้
โดยลูกจ้างสามารถดำเนินคดีแก่นายจ้างได้ในฐานฉ้อโกง รวมถึงคดีแพ่ง เนื่องจากนายจ้างได้เงินไปโดยมิชอบ สามารถพิจารณาจากการทำสัญญาระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการนำลอตเตอรี่ไปขึ้นเงินและการแบ่งเงิน ซึ่งลูกจ้างอ่านภาษาไทยไม่ออก ส่วนประเด็นหากนายจ้างเป็นผู้แจ้งจับแฟนหนุ่มของน.ส.ดาวจริง นายจ้างก็ต้องมีความผิดไปด้วย เนื่องจากเคยว่าจ้างแฟนหนุ่มของน.ส.ดาว ที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.วีระ งามเลิศ รอง ผกก.สอบสวน สน.คันนายาว ให้ข้อมูลว่า การจับ แรงงานต่างด้าว เป็นเรื่องปกติที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตรวจตรา เนื่องจากแถวนี้มีแรงงานอยู่กันมาก ส่วนผู้ให้เบาะแสเป็นความลับทางราชการ ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าใครเป็นผู้แจ้ง ส่วนนายเดิม มีการดำเนินคดีส่งไปฝากขังยังศาลมีนบุรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าน่าจะมีการนำตัวกลับภูมิประเทศ แต่เรื่องหวยรางวัลที่ 1 ยังไม่เห็นว่ามีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความ