หลังจากนักแสดงหนุ่ม "ไวท์ ณวัชร์" พร้อมครอบครัว และทนายความ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 เวลาประมาณ 13.00 น. กับการที่ถูกคู่กรณีขับรถปาดหน้า แล้วลงมาทำร้ายร่างกาย ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ซึ่งคู่กรณีเป็นลูกข้าราชการระดับสูงในขบวนการยุติธรรมนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลูกบิ๊กตุลาการเจอขุดคดีฉาวตบหญิง อดีตเคยไหว้สวย แต่คัมแบ็กตบแม่ไวท์
นอกจากนี้ คู่กรณีคนดังกล่าวเคยเป็นข่าวมาก่อนแล้วเมื่อปี 2561 เหตุการณ์ที่ไปทำร้ายพนักงานสาวร้านโทรศัพท์มือถือ หลังจากไม่พอใจในการให้บริการ จะบุกเข้าในสต็อกสินค้า แต่พนักงานไม่ให้เข้า จึงต่อยหน้าของพนักงานผู้หญิง เหตุเกิดที่ย่านปิ่นเกล้า กรุงเทพฯ
จากนั้นผู้ก่อเหตุ เข้าพบตำรวจและเจรจา ยกมือไหว้ขอโทษ น.ส.สายใจ ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนขอโทษสังคมที่ได้ก่อเหตุลงไป ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ในวันนี้ได้ขอโทษคู่กรณีแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ติดใจเอาความ ตนขอโทษที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม ในการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ตัวเองไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย ยืนยันว่าพ่อแม่ตนเลี้ยงดูมาดี แต่ตนไม่เชื่อฟัง ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าตนมีอาการป่วย เกิดจากตนเลิกกับแฟน ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า
วันที่ 3 ส.ค. 64 เวลาประมาณ 13.00 น. ที่ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี "ไวท์-ณวัชร์ พุ่มโพธิงาม" พร้อมด้วย นายสุระศักดิ์ พุ่มโพธิงาม พ่อของไวท์ และนางนฤมล อริยานุวัฒน์ แม่ของไวท์ เดินทางมาที่ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนเพิ่มเติม
ไวท์-ณวัชร์ พุ่มโพธิงาม พร้อมด้วย นายสุระศักดิ์ พุ่มโพธิงาม และนางนฤมล อริยานุวัฒน์ เปิดเผยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่เชิญทางนางนฤมล เข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติมในส่วนของเหตุการณ์ที่ถูกทำร้าย ส่วนรายละเอียดของทรัพย์สิน ยังไม่ขอลงรายละเอียดเพราะเป็นในส่วนของสำนวนคดีความ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนจัดการก่อน
กรณีที่ผู้ก่อเหตุเคยมีกระแสดราม่า และเป็นลูกของผู้มีอิทธิพล ตนยอมรับว่ารู้สึกกังวลมาก เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา โดยตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมหลักฐาน แต่ยังไม่มีใครติดต่อมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากถึงบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่ง เป็นผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตลายสีแดง แต่ไม่ได้ปรากฏภาพ เป็นคนที่เข้ามาสอบถามว่า ตบหน้าแม่ทำไม ตนอยากจะขอให้ติดต่อมาทางตน หรือมาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะตนอยากจะให้ผู้ก่อเหตุได้รับบทเรียน และไม่อยากให้ทำกับใครอีก ถ้ายินยอมและรับเงินก็คงไม่ถูกต้อง ในส่วนของค่าเสียหาย ตามกฎหมาย ทางคู่กรณีต้องชดใช้อยู่แล้ว โดยสิ่งที่ต้องการในตอนนี้ คือดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย
นอกจากนี้ ตนอยากจะทางผู้ก่อเหตุออกมาชี้แจงเพราะทราบมาว่าผู้ก่อเหตุมีกล้องหน้ารถ และเหตุการณ์ในวันนั้นได้ขับรถตามตนมาโดยตลอด ตนจึงเชื่อว่าจะมีคลิปตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องจนจบเรื่อง ซึ่งมีปัญหากันตั้งแต่ออกมาจากปั๊มน้ำมัน แต่ตนไม่ทราบเป็นจุดไหนบ้าง
พ.ต.อ.ศิวัช ศรีวิชัย ผกก.สภ.บางกรวย เปิดเผยว่า ผู้บัญชาการได้กำชับให้ปฏิบัติงานและทำสำนวนอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ ผู้เสียหายมีทั้งหมด 2 คน พ่อนายไวท์ได้ทำการสอบสวนตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว และวันนี้จะมีการสอบปากคำในส่วนฝั่งแม่ของนายไวท์ เกี่ยวกับกรณีที่ถูกทำร้าย และทรัพย์สินที่เสียหาย เพื่อที่จะได้ประเด็นอย่างครบถ้วน เบื้องต้น ได้ออกหมายเรียกทางผู้ก่อเหตุและเจ้าของรถมาแล้ว ให้เวลา 7 วัน นัดสอบปากคำในวันที่ 10 ส.ค. 64 แต่สามารถติดต่อเข้ามาขอสอบปากคำก่อนวันที่กำหนดได้
กรณีที่มีการกล่าวในรายการหนึ่งว่าเจ้าหน้าที่ติดต่อมาทางผู้เสียหาย และมีการบอกว่า อย่าไปออกรายการเลย เพราะเป็นลูกของคนใหญ่คนโตที่จริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด โดยเจตนาของเจ้าหน้าที่ คือต้องการให้ผู้เสียหายเข้ามาให้การณ์กับตำรวจ เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดี ในส่วนของ สภ.บางกรวย จะดูแลเฉพาะคดีความที่เกิดเหตุขึ้นบนสะพาน สำหรับเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพราะมีภาพชัดเจน เบื้องต้นข้อกล่าวหาเป็นเรื่องทำให้เสียทรัพย์ และทำร้ายร่างกาย ส่วนรายละเอียดของทรัพย์สินต้องสอบสวนอีกครั้ง และรายละเอียดอื่น ๆ เป็นเรื่องของสำนวนคดีความ
ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านของผู้ก่อเหตุ แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร นายมั่นคง (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า ครั้งล่าสุดที่เห็นคือเมื่อ 2 วันก่อน ขี่รถบิ๊กไบก์ออกมาจากบ้าน แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นแล้ว โดยปกติหนุ่มกร่างในคลิปจะขับรถคันที่เกิดเหตุกับรถบิ๊กไบก์ออกมาจากบ้าน ทั้งนี้ หนุ่มกร่างในคลิปรวมถึงคนในครอบครัวไม่เคยสุงสิงกับคนแถวบ้าน
ทั้งนี้ เขามักจะขี่รถบิ๊กไบก์ด้วยความเร็วประมาณ 100 กม./1 ชั่วโมง ทั้งที่ขี่รถออกมาจากบ้าน จนเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ขี่รถบิ๊กไบก์ออกมาจากบ้านด้วยความเร็ว คนแถวบ้านเลยตักเตือนให้ขี่รถช้า ๆ แต่เขาพูดจาไม่ดีใส่ ทั้งยังกล่าวว่าตัวเองมีปืน คนที่เข้าไปเตือนจึงเดินหนีออกมา และไม่เคยยุ่งกันอีก
ด้านนางสาวสายใจ ตรีเนตร อายุ 33 ปี ผู้เสียหายที่เคยถูกตบ เปิดเผยว่า เมื่อประมาณปี 2561 ตนเป็นพนักงานที่ร้านโทรศัพท์แห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าย่านปิ่นเกล้า ขณะนั้นเขาได้มีการถือถ่ายภาพ และพยายามจะเข้าไปในห้องของพนักงาน แต่ห้องดังกล่าวไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้า ตนจึงเข้าไปเจรจา และแจ้งว่าการถ่ายรูปในห้องของพนักงานผิด เขาจึงไม่พอใจ และตบเข้าที่บริเวณใบหน้าโดนกรามตน หลังจากนั้นตนก็เข้าแจ้งความ
ในวันนั้น ทนายความของคนได้จัดการทุกอย่างให้ โดยมีการรับค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอีก และไม่เคยเข้ามาคุกตามตน แต่ 2 เดือนต่อมา ตนบังเอิญเห็นเขาเดินผ่านหน้าร้าน แต่ไม่ได้เข้ามายุ่งกับตน กระทั่งคู่กรณีกลับมาเป็นข่าวอีก ตอนแรกตนไม่ทราบว่าเป็นคนเดียวกัน จนเพื่อนบอกให้ทราบ ตนเลยติดต่อไปหานายไวท์ เพื่อบอกว่าเมื่อปี 2561 ตนเคยเป็นผู้เสียหาย หลังจากที่ก่อเหตุกับตน เพื่อนเล่าให้ฟังว่าไปมีเรื่องกับอีกหลายคน แต่เรื่องผ่านมานานหลายปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ครั้งที่แล้วเขาอ้างว่าทำไปเพราะป่วยซึมเศร้า ครั้งนี้คงอ้างเหมือนเดิม ตนมองว่าไม่สมเหตุสมผล และตอนที่มีปัญหากับตน และมีโอกาสได้เจอกัน เขาก็ไม่ได้มีอาการเหมือนคนซึมเศร้าแต่อย่างใด