กรณีนายสุรัตน์ เศวตศิลป์ อายุ 43 ปี พร้อมพวก รวม 8 คน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดไชยา ในคดีอุ้มฆ่าเสี่ยโกศล หรือนายโกศล เรืองดุก อายุ 45 ปี นักธุรกิจอาหารทะเลแล้วนำศพไปอำพราง ซึ่งเมื่อวันที่ 2 ส.ค.64 เวลา 08.20 น. ญาติและทนายความพาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.ไชยา ต่อมาได้มีการดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 8 รายก่อนเมื่อเวลา 20.00 น. ตำรวจได้คุมตัวเสี่ยสุรัตน์เข้าห้องขังเป็นคนสุดท้าย ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เช้าวันที่ 3 ส.ค.64 ที่ สภ.ไชยา นางสาวสายฝน ภรรยาเสี่ยสุรัตน์ พร้อมญาติผู้ต้องหารวม 8 คน ได้มารอยื่นคำร้องขอประกันตัว ตั้งแต่ 08.00 น. ต่อมานางสาวสายฝน ได้เข้าเยี่ยมเสี่ยสุรัตน์ในห้องขังนานกว่า 15 นาที ไม่มีการให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวพบชุดสืบจากกองกำกับสืบสวนภูธรจังหวัดสุราษธานี (กก.สส.ภจว.) เดินทางเข้ามาสมทบกับกำลังเจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.ไชยา เพื่อดูแลความปลอดภัยในพื้นที่
จากนั้นเมื่อเวลา 10.30 น. นางจินดาหรา วสินทรัพย์ ภรรยาของเสี่ยโกศล เดินทางเข้ายื่นคำร้องขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย โดยนางจินดาหรา เปิดเผยก่อนยื่นคำร้องว่า ตนจะค้านทั้งชั้นโรงพักและชั้นศาล เพราะเชื่อว่าหลักฐานที่มีมัดตัวคนร้ายได้
ขณะเดียวแม้ผู้ต้องหาจะปฏิเสธก็ตาม ตนเชื่อว่าคนทำผิดไม่มีใครกล้ายอมรับอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ผิดก็ควรออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจตั้งแต่วันแรก ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่ควรหนี แต่วันนี้ 92 วันแล้ว การหนีไปก็เหมือนยอมรับความผิด และตนก็เชื่อแบบนั้น อีกทั้งการหนีไปของผู้ต้องหานั้นก็คงไปตั้งหลัก และไปปรึกษาทนายเพื่อมาต่อสู้คดี ซึ่งตนก็ขอให้เอาความจริงมาสู้กัน
ทั้งนี้ ตนขอความเป็นธรรม เพราะกังวลว่าถ้าผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัว ครอบครัวตนไม่ปลอดภัยแน่นอน ดังนั้น ตำรวจควรดำเนินการอย่างน้อย ๆ ให้มีการสืบพยาน รอจนกว่าความจริงจะเปิดเผยดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าเมื่อวานดีใจมากที่ผู้ต้องหามอบตัว คิดว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาไปกองปราบฯ แต่สุดท้ายคดีกลับวนมาที่ไชยา ทั้งที่ตนก็ตั้งความหวังไว้กับกองปราบฯ เหมือนมีอะไรแอบแฝง แต่ครึ่งหนึ่งตนก็ยังเชื่อมั่น เพราะตนก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับตำรวจ
เมื่อเวลา 12.25 น. พล.ต.ต.นันทเดช ย้อยนวล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมด้วย พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส. ภ.8, พ.ต.อ.วิรุฬห์ สุวรรณวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษธานี, พ.ต.อ.ประวิทย์ เอ้งฉ้วน ผกก.สืบสวน.ภ.จว.ฯ และ พ.ต.อ.อรุณพงษ์ ภารพบ ผกก.สภ.ไชยา ประชุมร่วมติดตามความคืบหน้าในคดี ใช้เวลานานเกือบ 2 ชม. ก่อนจะเข้าพูดคุยกับผู้ต้องหาอีกประมาณ 25 นาที
พล.ต.ต.นันทเดช ย้อยนวล รองผบช.ภ.8 เปิดเผยว่า การดำเนินการสอบสวนอ้างอิงตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ตอนนี้ไล่ลำดับสอบสวนตามลำดับความสำคัญ ตามวิธีการและขั้นตอนของการทำงานซึ่งเป็นแบ่งคณะ ขณะนี้การดำเนินการสอบสวนทุกคนอาการปกติดี ไม่มีใครร้องขออะไรและตำรวจก็ให้สิทธิ์ต่าง ๆ ตามกฎหมาย และผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ผู้ต้องหาน่าจะเตรียมต่อมาต่อสู้คดี เพราะเชื่อว่าก่อนมอบตัวผู้ต้องหาเตรียมการมาในกลุ่มผู้ต้องหาด้วยกันว่าใครจะให้การอย่างไร แต่ตำรวจก็เชื่อมั่นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดได้แน่นอน
ส่วนอำนาจในการสืบสวนสอบยังคงอยู่ในตำรวจภูธรภาค 8 จะโอนไปให้กองปราบปรามหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากมีการสั่งการมาก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ แต่ตอนนี้ผู้บังคับบัญชายังคงไว้ใจและติดตามความคืบหน้าเป็นระยะ รวมถึงลงมาดูคดีนี้เอง ตนจึงมองว่าไม่จำเป็นต้องโอนคดีไปไหน
อย่างไรก็ตาม ยืนยันอีกครั้งว่าจากพยานหลักฐานที่มีอยู่ตนเองมั่นใจเอาผิดได้ ไม่ว่าผู้ต้องหาจะให้การอย่างไรก็ถือเป็นสิทธิ์ แต่ฝ่ายสืบสวนเร่งพยายามรวบรวมพยายามหลักฐานอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะผลพิสูจน์จากพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่กำลังเร่งรัดให้มีผลออกมาอย่างเร็วที่สุด รวมถึงหลักฐานการเสียชีวิตทั้งนิติวิทยาศาสตร์ และทางการแพทย์ แม้จะยังไม่พบศพก็ตาม นอกจากนี้ ชั้นพนักงานสอบสวนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่อนุญาตให้มีการประกันตัวเด็ดขาด
จากนั้นชุดสืบจากกองกำกับสืบสวนภูธรจังหวัดสุราษธานี (กก.สส.ภจว.) ทยอยคุมตัวผู้ต้องห้องออกจากห้องขังทีละคน เพื่อขึ้นไปสอบปากคำในห้องสอบสวนชั้น 2 คนแรกคุมตัวออกเวลา 14.02 น. คือนายสุรชัย คงสุข หรือ ตาชัย อายุ 39 ปี มีสีหน้าเรียบเฉย คนที่ 2 เวลา 14.12 น. คือนายนพดล เศวตศิลป์ หรือ เอ็ด อายุ 33 ปี มีสีหน้าเรียบเฉย ทั้งคู่เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ เพราะมีหน้าที่ขับรถเอาศพไปทิ้ง
สำหรับตำรวจเปิดให้เยี่ยมผู้ต้องหาได้ 11.00-12.00 น. มีชาวบ้านจำนวนเกือบ 20 คน สลับเข้าเยี่ยมเสี่ยสุรัตน์และพวก นางอำนวย (นามสมมติ) ญาติของผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ตนนำข้าวเที่ยงมาให้ทั้ง 8 คน ทุกคนไม่ได้เครียด ส่วนการเข้าเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เยี่ยมได้แค่ชุดละ 4 คน ไม่เกิน 15 นาที ส่วนใหญ่เป็นญาติและเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทุกคนต่างเป็นห่วงกันก็มาเยี่ยมมาดูแลกัน
ด้านนางจำนงค์ (นามสมมติ) ชาวบ้าน ต.ตะกรบ อีกหนึ่งคนที่ได้เข้าเยี่ยมเสี่ยสุรัตน์ เปิดเผยว่า ทุกคนมีสีหน้าดูสดชื่นดี และบอกว่า"อยู่ได้ ไม่เป็นไร" โดยเฉพาะเสี่ยสุรัตน์ก็ปกติดี เพราะเสี่ยสุรัตน์เป็นคนดี ที่ผ่านมาช่วยเหลือเพื่อนบ้านในหมู่บ้านทุกคน ตนจึงมาเยี่ยมและบอกให้ "สู้ สู้" พร้อมเชื่อว่าศาลจะให้ประกันตัว
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจให้การควบคุมตัวผู้ต้องหาจนครบ 48 ชม. ขณะนี้สอบปากคำโดยละเอียดไปได้แค่ 2 คน คือเสี่ยสุรัตน์ และนายคำธร เศวตศิลป์ หรือ แน็ค อายุ 32 ปี
ภายหลักการยื่นคัดค้านประกันตัว นางจินดาหรา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนวกวนอยู่กับคำถามเดิม ๆ ว่าความยุติธรรมอยู่ไหน หวังมาตลอดว่าคดีจะคืบหน้า แต่ตอนนี้ตนเริ่มไม่มั่นใจ เพราะคดีวนมาอยู่ที่บ้านป่าเมืองเถื่อน ทำไมไม่ส่งตัวไปกองปราบฯ ทั้งที่ตนไปยื่นหนังสือร้องไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทุกวันนี้ตนเหมือนคนบ้า นั่งมองรูปเสี่ยโกศลตลอด
ตนจะเรียกว่าพี่ตุ้มว่า "นอนนะ กินข้าวนะพี่" ซึ่งทุกครั้งพี่ตุ้มจะจับมือตน แล้วบอกว่า "เราจะผ่านไปด้วยกัน" แต่วันนี้เหลือแค่ตนเพียงลำพังแล้วตนจับมือกับใคร จะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร แต่การที่ตนต้องสู้ เพราะอยากเห็นความเป็นธรรม
