วันที่ 10 ส.ค. 64 เวลาประมาณ 11.30 น. พ.ต.ท.อดิศร อินธิจักร ร้อยเวรสอบสวนสถานีตำรวจเกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ได้รับแจ้งเหตุมีหญิงสาวแม่ลูกเสียชีวิต 2 ราย ที่บ้าน ม.10 ต.สิงห์โคก อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมแพทย์เวร และเจ้าหน้าที่กู้ภัย
เมื่อถึงที่เกิดเหตุพบศพ นางสาวนันทนา คำนิล อายุ 20 ปี สภาพศพถูกมีดปาดคอ และมีแผลถูกแทงที่แก้มและแขน นอนหงายจมกองเลือดอยู่ภายในบ้าน สวมชุดลายขาวดำ มีมีดสั้นทำครัวตกอยู่ด้านซ้ายของศพ พบจดหมายลาตาย ซึ่งผู้เป็นแม่เขียนไว้บนโต๊ะรีดผ้า
จากนั้นตามหาจนพบรถจักรยานยนต์จอดอยู่ พร้อมรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้แถวหนองน้ำ ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 1 กม. พบศพนางไพวรรณ คำนิล อายุ 45 ปี แม่ของผู้ตาย สภาพเสียชีวิตจากการจมน้ำ
โดยจดหมายลาตายเขียนว่า "ถ้าไม่มีเงินจัดงานให้ฝังหนู ไว้กับลูกให้อยู่นำกันทุกชาติ ลูกขอโทษทุกคน ลูกหมดแรง หมดกำลังหมดหนทางใช้หนี้ บ่ไหว มันเข้ามาหาลูกทุกประตู มีแต่คนถามนี่รักพ่อแม่น้องลูกหลานทุกคน พี่น้อง เพื่อนพ้องทุกคน ลูกตัดสินใจจบชีวิตใช้หนี้ หากชาติหน้ามีจริงลูกขอเกิดเป็นลูกพ่อกับแม่อีก เฮิ่นจังใด๋กะไปบ่ได้นี่ธนาคาร 5,000,000 บาท
จบชีวิตลูกตัวเองบ่อยากให้ลูกมีปัญหาตามมา ลูกบ่มีทางออกอีหลี รักครอบครัวที่สุด เกลียดที่สุด นายบุญมา คำนิล บอกทิศ เขตนำแหน่ให้โทรหาเบอร์น้องบี น้องบีรักเขต น้องบีบ่อมีไผ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้ได้ครองคู่กัน ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องที่คอยให้กำลังใจ แต่บ่ไหวอีหลี ถ้าเกิดมามีเงิน ถ้าลูกหลานมีปัญหาคือสิคิดนำแก้ให้ทุกคน ขอโทษย่านำเด้อ"
ทั้งนี้ พ่อแม่ของผู้เสียชีวิตไม่ทราบจำนวนรายละเอียดเรื่องหนี้ ทราบแค่ว่าลูกสาวมีการกู้เงินมาทำบ้าน ซื้อรถแบ็กโฮ ออกรถยนต์คันใหม่ และเครื่องมือในการก่อสร้างของธุรกิจ มูลค่ารวมดอกเบี้ยแล้วประมาณ 5 ล้านบาท
นางร่วม ชาวสนาม อายุ 72 ปี แม่ของนางไพวรรณ เล่าว่า ลูกสาวได้ทำธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง ช่วงหลังบ่นเรื่องหนี้สินมาเป็นระยะเวลาสักพักแล้ว ช่วงก่อนหน้าโควิดก็ขายสินค้าดีปกติ ช่วงโควิดทำให้ขายของไม่ดี และบ่นเรื่องเงินตลอด ไม่คิดว่าลูกสาวจะคิดสั้นฆ่าหลานสาว และฆ่าตัวตายตามเพื่อหนีปัญหาแบบนี้
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นชั้นที่พบศพของนางสาวนันทนา คำนิล อายุ 20 ปี ถูกปาดคอนอนเสียชีวิตจมกองเลือด นายไพรินทร์ ชาวสนาม อายุ 72 ปี พ่อผู้เสียชีวิต บอกว่า ปกตินางไพวรรณ คำนิล อายุ 45 ปี ผู้เสียชีวิต ลูกสาวของตนจะหุงข้าวไปกินข้าวที่โรงไม้ทุกวัน ในเวลา 08.00 น. ตนรู้สึกผิดสังเกตเนื่องจากตนรอกินข้าว แต่ลูกสาวยังไม่มา จึงขับรถจักรยานยนต์มาหาลูกสาวที่บ้าน มาถึงก็ได้มีการตะโกนถามหาหลานสาวของตน แต่ก็ไม่มีใครตอบรับ จึงรีบเข้าไปในบ้าน พบนางสาวนันทนา นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ ก็รู้สึกตกใจ แล้วร้องให้คนมาช่วย
ตอนนั้นคิดว่านางไพวรรณ ลูกสาวของตน จะต้องผูกคอตายบนบ้าน แต่พอขึ้นไปก็ไม่พบ จนกระทั่งมาพบรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ใกล้กับหนองน้ำ ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร พบว่ามีรองเท้าถอดทิ้งไว้ริมน้ำ จึงมั่นใจว่าจะต้องมีการฆ่าตัวตายในน้ำ ชาวบ้านก็ช่วยกันงมจนพบศพ
ตนทราบว่าลูกสาวเป็นหนี้กับธนาคารหลายบาท ก่อนหน้าที่จะมีโควิด-19 ระบาด ก็ยังค้าขายไม้ได้ เพราะยังมีการก่อสร้างได้ปกติ แต่พอมีมาตรการไม่ให้มีการก่อสร้าง ก็ทำให้ธุรกิจชะงัก ตนได้ให้กำลังใจกับลูกสาวว่าให้สู้ก่อน อย่ายอมแพ้ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีการส่งหนังสือมายึดทรัพย์ สถานะการณ์อาจจะดีขึ้น ตนก็ไม่คิดว่าลูกสาวจะตัดสินใจทำแบบนี้ สภาพจิตใจตอนนี้รู้สึกเสียใจ แต่ก็เป็นคนใจแข็ง เริ่มจะทำใจได้ เพราะคนเราไม่จากเป็นก็จากตาย สุดท้ายก็มีการฝังศพแม่ลูกไว้ด้วยกัน และปลอบใจภรรยาว่าลูกไปสบายแล้ว
ด้านนายศรัณยพงศ์ โยธาจันทร์ อายุ 40 ปี เพื่อนบ้าน บอกว่า ปกตินางไพวรรณ ผู้เสียชีวิต เป็นเพื่อนบ้านที่ดีมีน้ำใจ ขับรถผ่านบ้านกันก็ยิ้มทักทายเสมอ วันเกิดเหตุ 10 ส.ค. 64 เกิดเรื่องผิดปกติ เนื่องจากเวลาประมาณ 03.00 น. ตนยังนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ เหมือนคนกรี๊ด แต่ก็ไม่ชัด ช่วงเวลานี้คนหาเห็ดกันเยอะ เลยไม่ได้เอะใจ
กระทั่งเช้า 10 ส.ค. 64 เวลาประมาณ 09.00 น. ได้ยินเสียงนายไพรินทร์ พ่อผู้เสียชีวิต ร้องตะโกนขอให้ช่วยด้วย ๆ ขณะนั้นตนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ รีบออกไปดู เห็นนายไพรินทร์เดินกระวนกระวาย บอกตนว่าให้ช่วยตามหานางไพวรรณ เพราะคาดว่าน่าจะมีการไปผูกคอตายที่ไหนสักแห่ง พอออกตามหาก็มีชาวบ้านบอกว่าเห็นนางไพวรรณขับรถจักรยานยนต์สวนทางออกไปตอนเช้ามืดมุ่งไปทางบ่อน้ำใกล้หมู่บ้าน มีรถจักรยานยนต์ของผู้เสียชีวิตจอดอยู่ คาดว่าจะมีการผูกคอตายแถวต้นไม้ แต่ปรากฏว่าพบรองเท้าแตะของผู้เสียชีวิตถอดวางทิ้งไว้อยู่ริมสระ จึงมั่นใจว่านางไพวรรณอยู่ในน้ำ ตนและชาวบ้านจึงลงไปในน้ำเพื่อค้นหา ห็นผมของผู้เสียชีวิตลอยอยู่กลางน้ำ ช่วยกันว่ายน้ำลากกันขึ้นมา สภาพตัวแข็ง และตามร่างกายผิวหนังซีด ไม่นานเจ้าหน้าที่กู้ภัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มายังจุดเกิดเหตุ
ส่วนสาเหตุตนคาดว่ามาจากปัญหาความเครียดหนี้สิน เพราะคุยกันล่าสุดประมาณเดือนมิถุนายน นางไพวรรณบอกว่าธุรกิจได้รับผลกระทบมาจากพิษโควิด-19 ทำให้หนี้ที่เป็นอยู่กับธนาคาร ไม่สามารถจ่ายได้ ลูกสาวจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็ไม่มีเงินให้ลูกเรียน ซึ่งก็พูดไปร้องไห้ไป ตนก็ให้กำลังใจบอกว่า "สู้ ๆ" ตนเพิ่งมาทราบจากพ่อผู้ตายว่านางไพวรรณพักหลังชอบดูข่าวคนฆ่าตัวตายหนีหนี้ และวิธีการฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำขนาดนี้ ตนก็ค่อนข้างสะเทือนใจ
นายหนู คำวงศา อายุ 63 ปี ชาวบ้านที่พบผู้ตายคนสุดท้าย เล่าว่า บ้านตนใกล้บ่อน้ำของหมู่บ้าน และเวลาเช้ามืดมักมีคนขับรถจักรยานยนต์ ผ่านหน้าบ้านตนไปหาเห็ด แต่สิ่งที่แปลกคือเวลาประมาณ 03.30-04.00 น. ตนเห็นนางไพรวรรณ ผู้เสียชีวิต ขับรถจักรยานยนต์ผ่านบ้านตนแล้วจอดอยู่ที่บ่อน้ำ แต่หมาที่บ้านตนเห่าเสียงดังมาก กระทั่งช่วงประมาณ 10.00 น. มีคนออกตามหาคน บอกว่าเห็นรถจักรยานยนต์ผ่านมาหรือไม่ ตนก็จำได้ว่ามีคนคันสีขาวมาจอด จึงชี้ไปที่บ่อน้ำทราบในภายหลังว่าเขามาฆ่าตัวตาย
ส่วนตัวไม่ได้ตกใจกลัว เพราะอยู่คนละหมู่บ้าน และไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่บ่อน้ำแห่งนี้เคยมีคนตาย แต่เป็นการจมน้ำตาย ไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวตาย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เป็นเหตุสะเทือนขวัญ