วันที่ 28 ก.ย. 61 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีศาลยกฟ้อง น.ส.อาเมเรีย จาคอป หรือ “เอมี่” อดีตนักแสดงชื่อดัง (อ่าน :
“ชาญเทพ” พบ 6 ตร.ชุดจับกุม บกพร่องทำคดี “เอมี่” ชี้ จนท.ระดับบิ๊กร่วมด้วย)
ทั้งนี้ กรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เปิดเผยเรื่องราวผ่านเพจ
ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เล่าเรื่องราวของคนดัง ที่มีกรณีวิ่งเต้นล้มคดียาเสพติดของนางเอกดัง โดยมีขบวนการกุ้งมังกร 50,000 บาท เป็นที่มาของกลุ่มบุคคลที่ไปทานกุ้งมังกร ที่ย่านวัดท่าไม้ จ.สมุทรสาคร
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่สำรวจร้านอาหารใกล้กับวัดท่าไม้ ซึ่งเป็นจุดที่นายอัจฉริยะระบุว่า มีคนดังมาทานอาหารกับลูกความ โดยมีการสั่งกุ้งมังกรมาทาน และเรียกรับเงิน 50,000 บาท เพื่อวิ่งเต้นล้มคดี พบร้านอาหารอยู่ห่างจากวัดท่าไม้ประมาณ 2 กม. ลักษณะเป็นเรือนไม้ยื่นลงไปในน้ำ มีบ่อกุ้งเลี้ยง โดยทีมข่าวได้สอบถามพนักงานในร้านอาหาร ระบุว่า ทราบข่าวที่นายอัจฉริยะออกมาพูดถึงคนดังว่ามากินกุ้งมังกรที่ร้านใกล้วัดท่าไม้ ยืนยันว่าที่ร้านไม่มีกุ้งมังกรขาย มีแต่กุ้งแม่น้ำ แต่ยอมรับว่าอาจจะเป็นร้านอาหารที่เป็นข่าว เพราะคนดังเป็นลูกค้าประจำ และพาเพื่อนมาทานอาหารบ่อยครั้ง ส่วนมากเพื่อนที่พามา มักจะไม่ซ้ำหน้า แต่มักจะมากับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย ไม่แน่ใจว่าเป็นลูกความหรือไม่ ส่วนตัวเท่าที่ได้สัมผัสคนดังก็เป็นคนนิสัยดี พูดจาดี ก่อนจะมาที่ร้าน ก็จะโทรศัพท์มาสั่งอาหารไว้ก่อนเป็นประจำ
ทั้งนี้ ครั้งล่าสุดที่คนดังมาทานข้าวที่ร้านคือช่วงประมาณ 1 เดือนที่แล้ว โดยมากับผู้หญิง 2 คน คนแรกผมสั้น รูปร่างอวบ ส่วนอีกคนผมยาว โดยมีคนหนึ่งสวมแว่นตาดำ โดยในมื้ออาหารวันนั้น มีการสั่งกุ้งแม่น้ำมาทาน 2 ตัว และอาหารอื่น ๆ แต่ตนไม่ทราบว่ามีการพูดคุยอะไรกัน เพราะไม่ได้สังเกต
เมื่อทีมข่าวนำภาพนางเอกดังและครอบครัว ให้พนักงานในร้านดูว่าคนที่มาทานข้าวกับคนดังเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว ใช่คนในรูปหรือไม่ พนักงานตอบว่า ตนจำไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ แต่เมื่อให้ดูภาพนายเก่ง ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทคนดัง ก่อนจะถูกคุมขังในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น พนักงานในร้านยอมรับว่าคุ้นหน้า แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นมากับคนดังด้วยหรือไม่
ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสุนัขจิ้งจอกกับนายอัฐ หรือ เก่ง นั้น
ล่าสุดทีมข่าวได้เดินทางมายังบ้านของนายเก่ง ใน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร โดยได้สอบถามเพื่อนบ้านที่กำลังจะขนของย้ายออก เกี่ยวกับกรณีที่มีการระบุว่า นายเก่งถูกทำร้ายที่หน้าบ้าน ก่อนที่จะถูกจับ โดยเพื่อนบ้านยืนยันว่า ไม่ทราบเรื่อง เนื่องจากช่วงนั้น ตนกลับบ้านที่ต่างจังหวัด และขณะที่นายเก่งอาศัยอยู่ ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้พูดคุยกัน จึงไม่ทราบนิสัยใจคอด้วย ขณะที่ร้านค้าใกล้เคียงก็ปฏิเสธว่าไม่เห็นเหตุการณ์ เคยเห็นเก่งมาซื้อของที่ร้าน แต่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ทราบข่าวว่านายเก่งถูกทำร้ายจนเข้าโรงพยาบาล โดยทราบจากลูกค้าที่มาซื้อของในร้าน
ส่วนเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่ทีมข่าวเคยสอบถามรายละเอียดเหตุการณ์ในวันที่นายเก่งถูกจับนั้น ยืนยันว่า ไม่ทราบเหตุการณ์ที่นายเก่งถูกดักทำร้าย เพราะไม่ได้สังเกต และไม่ได้นอนพักที่นี่ เพียงแต่มาทำงานที่ร้านตัดผม เฉพาะช่วงเวลา 05.00 - 16.00 น. เท่านั้น
นอกจากนี้ กรณีที่มีการเรียกร้องให้ตรวจสอบมรรยาททนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ล่าสุด สภาทนายความได้ออกมาเปิดเผยว่า จะมีการสอบมรรยาททนายความกับนายษิทรา ว่ามีการแอบอ้างเรียกเงินช่วยคดี 5 แสนหรือไม่นั้น (อ่าน :
งานเข้า “ษิทรา” สภาทนายความสั่งสอบมรรยาท ปมคลิปเสียงเงิน 5 แสน)
ด้าน
นายเดชา กิตติวิทยานนท์ ทนายความ เปิดเผยว่า กรณีทนายความเรียกรับเงินในการช่วยคดี ถือเป็นความชั่วร้ายแรง ตามข้อบังคับมรรยาททนายความ ใครรู้เห็นเป็นใจประพฤติเช่นนี้ก็จะถูกลบชื่อออกจากการเป็นทนายความ กรณีตนเข้าข้างนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เนื่องจากข้อมูลที่นายอัจฉริยะออกมาตีแผ่ เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีผู้เสียหาย มีหลักฐานการโอนเงิน คลิปต่าง ๆ ตนได้เห็น ได้พบกับผู้เสียหายมาด้วยตนเอง โดยตนยืนยันว่า กรณีที่ตนเข้าข้างนายอัจฉริยะ ไม่ใช่เพราะเคยมีความแค้นส่วนตัวกับอีกฝ่าย ในอดีตอาจเคยมีปัญหาเห็นต่างกัน แต่ก็มีการขอโทษกันแล้ว ซึ่งก็มีการยกโทษให้กันไปแล้วนั้น
นายเดชา กล่าวว่า กรณีนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่จะได้กวาดบ้านตัวเอง ทนายไม่ดีก็ควรถูกลบชื่อไป ถ้ายังมีทนายที่ยังสามารถเปลี่ยนขาวเป็นดำ หรือเปลี่ยนดำเป็นขาวได้ ทนายไม่ได้รับว่าความ แต่รับวิ่งเต้นคดี ตนมองว่าทำให้เสื่อมเกียรติศักดิ์ทนายความ ทั้งนี้ ตนขอแสดงความเห็นส่วนตัวว่า กรณีนี้คนดังน่าจะไม่รอด คาดว่าไม่เกิน 30 วัน ที่คณะกรรมการของสภาทนายความจะมีผลการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้เคยถูกร้องมรรยาทแต่อย่างใด มีเพียงกลุ่มแฟนคลับของคนดัง ที่อาจไปร้องสภาทนายความว่าตนพูดหยาบคาย ตนจึงไม่ได้มีความแค้นส่วนตัว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยโกรธเคืองคนดัง
นายเดชา ระบุว่า ตนพร้อมยืนเคียงข้างนายอัจฉริยะ หากมีการทำประโยชน์เพื่อสังคม พร้อมฝากถึงทนายความคนอื่น ๆ ว่า เรื่องของเงินทองเข้าใจว่าทุกคนต้องใช้ แต่การเรียกรับเงินวิ่งเต้นคดี เป็นสิ่งไม่ควรทำ เพราะเป็นการทรยศวิชาชีพตัวเอง และสังคมจะไม่ไว้วางใจทนายความ