จากกรณีที่นางสาวจินดา ศรีสมัย หรือ แพท อายุ 42 ปี ผู้เสียหายที่อ้างว่าตกเป็นผู้เสียหาย ถูกยัดยาเสพติด ที่ในอดีตเคยถูกตำรวจเข้าจับกุม และทำให้ต้องโทษในคดีผู้ค้ายาเสพติด ถูกติดคุกนาน 3 ปี 9 เดือน และล่าสุดเมื่อวาน (27 ก.ย.) ที่ผ่านมา เดินทางพร้อมด้วยนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ ไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อนำหลักฐานและข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำ และพฤติกรรมของตำรวจ ในการซ้อมทรมานร่างกาย เพื่อให้รับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก่อนถูกรีดไถเงินและดำเนินคดี โดยนำหลักฐานไปมอบให้กับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
วันที่ 28 ก.ย. 61
นางสาวจินดา ศรีสมัย หรือ แพท อ้างเป็นผู้เสียหาย ถูกยัดยาเสพติด เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนของวันที่ 19 ก.ย. 54 ช่วงเวลาก่อนเที่ยงคืน เข้าสู่วันที่ 20 ก.ย. 54 ตนพร้อมด้วยเพื่อนอีก 3 คน คือพิมพ์ ขวัญ และเจน ออกจากสถานบันเทิงโดยระหว่างตนกำลังจะเดินกลับไปที่จอดอยู่บริเวณปั๊มน้ำมัน มีชุดตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 คน พร้อมด้วยพลเรือนอีก 2 คน เข้ามาล็อกตัว เพื่อนอีก 3 คนตกใจวิ่งหนีไปก่อน ตนก็ด้วยความตกใจจึงรีบวิ่ง เพื่อจะไปขอความช่วยเหลือที่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม แต่ขณะที่วิ่งผ่านรถฟอร์จูนเนอร์ที่จอดอยู่ มีคนเปิดประตูลงมาแล้วกระชากตนขึ้นไปภายในรถ จากนั้นก็ได้ซักถามว่า "ของอยู่ไหน" โดยตนไม่ทราบว่าสิ่งที่ถามคืออะไร จากนั้นตำรวจก็ได้ถอดเสื้อผ้าตนออกทั้งหมด เพื่อหายาเสพติด เพราะตำรวจนายหนึ่งอ้างว่า ตนเป็นผู้ค้ายาเสพติด และเกี่ยวข้องกับกระบวนการ แต่ขณะที่ตำรวจถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดแล้วนั้น ก็ไม่พบยาเสพติดภายในตัว จากนั้นตนก็ถูกซ้อม ทำร้ายร่างกาย ทั้งโดนตบ ตีจนฟกช้ำ และใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวตนด้วย
จากนั้นได้กระชากตัวของตนขึ้นรถอีกครั้ง ซึ่งตนได้ถามกับกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวว่าจะไปที่ไหน มีคนตอบว่า “มึงไม่ต้องรู้” จากนั้นก็พาตนขึ้นทางด่วน บริเวณบางนา ในเวลาประมาณ 05.00 น. จากนั้นก็พาไปที่อาคารแห่งหนึ่ง ลักษณะคล้ายกับสถานที่ราชการ ตนจึงหันไปมองข้อความที่ติดอยู่ตรงป้าย ปรากฏข้อความเป็นอักษรย่อว่า "บก."
จากนั้นได้มีการเจรจากัน ภายในอาคารราชการดังกล่าว โดยมีตำรวจหลายคนเข้ามาสอบถามถึงเงินมูลค่า 200,000 บาท แต่ตนยืนยันว่าไม่มีเงินมอบให้ จากนั้นตนก็โดนซ้อม ทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง จนกระทั่งมีตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "ถึงขั้นตอนนี้แล้ว ไม่มีใครช่วย มึงต้องช่วยตัวเอง" ซึ่งขณะนั้น ตนไม่สามารถติดต่อหาใครได้ จนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ตำรวจนายหนึ่งจึงเข้ามาแล้วพาตนออกไป และให้เขียนคำรับสารภาพว่ามียาเสพติดคือประเภทยาไอซ์ จำนวน 2 กรัม เป็นของตนเอง ซึ่งตนไม่อยากเขียนรับสารภาพ แต่ถูกทรมานและทุบตี ทำให้ต้องเอาตัวรอดด้วยการทำตามที่ตำรวจบอก
จากนั้น เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเริ่มไม่ชอบมาพากล ตนจึงเริ่มส่งเสียงดังโวยวาย ทำให้มีตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “งั้นต้องเพิ่มของกลางให้มากกว่านี้” จากนั้นก็มีตำรวจเดินออกไปจากห้องแล้วนำยาไอซ์มาเพิ่มอีกเป็น 5 กรัม เพื่อให้ตนชี้ และเซ็นต์รับสารภาพ ซึ่งหากไม่ทำตาม ก็ยังคงโดนซ้อมทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง และภายหลังที่ตำรวจเรียกเงินจำนวนมูลค่า 200,000 บาทนั้น ตนไม่มีเงินให้ ตำรวจจึงพากลับไปที่บ้านเช่า ย่านสมุทรปราการ เพื่อไปรื้อค้นของมีค่า โดยตำรวจชุดดังกล่าวได้คนเอาของมีค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ หม้อ เตารีด ออกไปจากบ้านด้วย รวมแล้วได้รถส่วนตัวหนึ่งคัน เงินอีก 10,000 บาท
ส่วนที่ตนเองตัดสินใจเข้าไปแจ้งความกับตำรวจ และออกมาแฉพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวนั้น ยอมรับว่าอยากจะทำมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส เพราะต้องอยู่ในเรือนจำ จนกระทั่งทราบข่าวพ่อค้าส้มตำ ที่ถูกตำรวจจับในข้อหายาเสพติด ทำให้ตนกล้าที่จะออกมาเปิดเผย เพราะจากรายชื่อและหน้าตาของตำรวจชุดดังกล่าว ตนยังจำได้ และเป็นชุดเดียวกันที่เข้ามาจับกุมตัวเอง ทำให้ตนอยากเปิดเผยข้อมูลให้สังคมรับรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการนี้ และยืนยันว่าไม่กลัวผลที่จะเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาถือว่าเลวร้ายพอสมควรแล้ว ส่วนสถานะทางสังคมในตอนนี้ก็ยังติดลบ ทำงานหรือสมัครงานก็ยากลำบาก คนในหมู่บ้านยังตราหน้าตนว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติด
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังได้เดินทางมาที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนางสาวจินดา พบว่าที่บ้านทำธุรกิจเลี้ยงวัวนม เพื่อส่งน้ำนมขายให้กับโรงงาน ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำมานานแล้ว รวมกว่า 15 ปี เฉลี่ยรายได้ 20,000 - 30,000 บาทต่อเดือน และมีวัวนมที่เลี้ยงเอาไว้จำนวน 30 ตัว ซึ่งที่บ้านยังคงมีแม่ของผู้เสียหาย ลูก 2 คน และรวมถึงสามีของผู้เสียหาย ส่วนก่อนถูกจับเมื่อ 4 ปีก่อน ได้ทำอาชีพขายไก่ย่าง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ
นางลำดวล ศรีสมัย อายุ 68 ปี แม่ของนางสาวจินดา เปิดเผยว่า ตนทราบข่าวจากทนายความที่โทรมาแจ้งว่า ลูกสาวถูกจับในคดียาเสพติด ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่ลูกสาวถูกจับผ่านไปแล้ว 6 เดือน ครั้งนั้นลูกขาดการติดต่อ ตนก็ไม่ทราบว่าลูกหายไป เพราะปกติลูกจะกลับมาบ้านเป็นประจำทุกเดือน พอลูกหายไป ตนก็ไม่รู้จะไปตามหาที่ใด
หลังจากทราบว่าลูกถูกจับคดียาเสพติด ก็ไม่เชื่อและรู้สึกตกใจมาก เพราะลูกและคนในครอบครัว ไม่มีใครมีพฤติกรรมข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ลูกตนไม่เคยแม้แต่สูบบุหรี่ให้เห็น ยอมรับว่าเรื่องดื่มเหล้าเบียร์ก็อาจมีบ้างเพื่อเข้าสังคม แต่ตนไม่เคยเห็นลูกดื่มเหล้า และมั่นใจว่าลูกสาวเป็นคนบริสุทธิ์ ส่วนแนวทางและวิธีที่จะช่วยเหลือลูกนั้น ยอมรับว่าตนจนปัญญา ไม่รู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไร ไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ นอกจากนี้ ในช่วงที่ลูกโดนจับ ลูกยังเล่าว่า ถูกเรียกเงินจากตำรวจกว่า 100,000 บาท แต่ด้วยฐานะทางการเงินไม่ดี จึงไม่มีเงินให้