จากกรณี เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 64 ตำรวจสภ.แม่ริม รับแจ้งเหตุมีหญิงพร้อมกับลูกชายรมควันตัวเอง ภายในรถเก๋งที่จอดอยู่ภายในบ้าน เหตุเกิดที่บ้าน ตำบลเหมืองแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จึงรุดไปในที่เกิดเหตุ พร้อมกับประสานโรงพยาบาลและหน่วยกู้ภัย
ที่เกิดเหตุเป็นลานจอดรถในบ้าน จากการตรวจสอบพบรถยนต์เก๋งจอดอยู่ในโรงรถสภาพปกติ รถเก๋งห่างจากรั้วหน้าบ้านประมาณ 2 เมตร ภายในรถเก๋ง พบหญิงคนหนึ่งที่พาลูกชายนั่งบนตักซบอกแม่ นอนหมดสติ ด้านหลังประตูซ้ายมีเตาอั้งโล่วางอยู่ มีเศษเถ้าถ่านตกอยู่ข้าง ๆ
เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้ามาเก็บหลักฐานจากตัวรถและเตาที่พบ ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ นางสาวปาริฉัตร อายุประมาณ 30 กว่าปี ส่วนลูกชายชื่อว่าเด็กชายเอ (นามสมมติ) วัย 10 ปี
วันที่ 14 ส.ค.64 ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านเกิดเหตุ ตำบลเหมืองแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าเป็นบ้านปูนสองชั้น โดยรถคันที่เกิดเหตุ ยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถในบ้าน ซึ่งหันหน้าเข้าไปในบ้าน ใกล้ท้ายรถมีเตาอั้งโล่วางอยู่ ประตูรั้วได้ปิดสนิท ส่วนประตูบ้านก็ปิดสนิทเช่นกัน
น.ส.แชน (นามสมมติ) อายุ 35 ปี เพื่อนบ้าน เปิดเผยว่า ภายหลังจากเกิดเหตุ ทางสามีของผู้ตายได้มีกดกริ่งหน้าบ้านของตน ซึ่งอยู่ในอาการที่ตกใจ โดยมาสอบถามว่าเจอภรรยาและลูกชายของเขาล่าสุดเมื่อไร ขณะนี้ภรรยาและลูกชายของเขารมควันในรถ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตแล้ว
พอตนทราบก็ตกใจ รีบประสานทาง รปภ. เรียกรถพยาบาล และขอความร่วมมือจากเพื่อนบ้าน ส่วนตัวไม่ได้เข้าไปดูสภาพของผู้เสียชีวิต เนื่องจากขณะนั้นตกใจ และยุ่งเกี่ยวกับการประสานเจ้าหน้าที่ โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้สังเกตว่าผู้ตายและลูกชายเข้า-ออกจากบ้านตอนไหน เพราะอยู่ในบ้าน มีรถเข้าออกในซอยหลายคัน จึงไม่ได้เอะใจ
สำหรับบ้านหลังดังกล่าวอาศัยกันอยู่ 3 คน พ่อ แม่ ลูก ที่ผ่านมาครอบครัวหรือผู้ตายเองไม่ได้สุงสิงกับใคร ไม่ได้มาปรึกษาอะไร ต่างคนต่างอยู่ และไม่ได้พาลูกชายมาเล่นกับเพื่อนบ้าน ส่วนลักษณะนิสัยของผู้ตายนั้น เป็นคนน่ารัก หากเจอกันก็ใส่ยิ้มแย้มให้กัน ส่วนลูกชายที่เสียชีวิตนั้น ตนทราบว่าเป็นออทิสติก แต่ตนไม่ทราบว่าป่วยในระดับไหน
ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ นายชัยสิทธิ์ สามีของของผู้ตายเล่าว่า ก่อนที่จะออกไปทำงานเขาได้ทะเลาะมีปากเสียงกับผู้ตาย ซึ่งตนไม่ได้ยิน จากนั้น กลับบ้านมาพบว่ารมควันเสียชีวิตแล้ว ส่วนเตาอั้งโล่นั้นคาดว่าผู้ตายน่าจะออกไปซื้อมาใหม่ เพราะอันเก่าที่อยู่ในบ้านใช้งานไม่ได้
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้กล้องวงจรปิด ขณะที่ น.ส.ปาริฉัตร พร้อมกับลูกชาย ขับออกจากหมู่บ้านไปในเวลา 11.38 น. คาดว่าน่าจะไปซื้อเตาอั้งโล่และถ่าน ขับรถกลับมาในเวลา 12.29 น.
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้เดินทางไปยังร้านสะดวกซื้อ ที่ผู้ตายทำงานอยู่ น.ส.ฝ้าย (นามสมมติ) อายุ 26 ปี เพื่อนร่วมงานของผู้ตาย เผยว่า ตนได้พูดคุยกับผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 64 โดยผู้ตายจะย้ายไปทำงานที่สาขาอื่น จึงได้ร่ำลากัน ซึ่งผู้ตายบอกว่าจะไปแล้วนะ ขณะนั้นไม่ได้เอะใจ คิดว่าผู้ตายน่าจะลาไปทำงานสาขาอื่นเพียงเท่านั้น
พอเมื่อวานที่ผ่านมา ตนเข้างานช่วงเช้า พอจะออกกะช่วงบ่าย ได้รอให้ผู้ตายมาเปลี่ยนเวร แต่ไม่สามารถติดต่อผู้ตายได้ พอช่วงเย็นได้ทราบว่าผู้ตายเสียชีวิตแล้ว ตนได้รู้จักกับผู้ตาย 1 ปี ผู้ตายเป็นคนร่าเริง แจ่มใส ไม่เครียด และเป็นชอบสอนงานให้รุ่นน้อง แต่มีอะไรไม่ค่อยมาปรึกษา ซึ่งส่วนมากจะปรึกษาเรื่องลูกชาย เนื่องจากลูกชายป่วยเป็นออทิสติก ส่วนเรื่องสามีก็มักมาระบายให้ฟังว่า ชอบมีปากเสียงกัน เพราะเรื่องลูกชาย แต่ไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย
นายประสิทธิ์ อินตา กู้ภัยเทศบาลเหมืองแก้ว เผยว่า วานนี้หน่วยงานของตนได้รับแจ้งในเวลา 15.30 น. จึงรีดรุดไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบว่า มีกู้ภัยและชาวบ้านได้นำตัวของเด็กชายเอ ออกมาจากรถแล้ว กำลังช่วยปั๊มหัวใจ ส่วน น.ส.ปาริฉัตร ยังอยู่บนรถ ซึ่ง น.ส.ปาริฉัตรได้หมดลมหายใจแล้ว หลังจากนั้น มีรถโรงพยาบาลมา 2 คัน จึงมีความหวังว่าจะสามารถช่วย น.ส.ปาริฉัตร ได้ ได้รีบเคลื่อนย้ายทั้งสองแม่ลูกขึ้นรถไป ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา คาดว่าน่าจะขาดอากาศหายใจไป 30 นาทีแล้ว
ภายหลังจากเกิดเหตุ ตนได้สอบถามสามีของผู้ตาย อ้างว่า ช่วงเช้าของวันที่ 13 ส.ค.64 สามีของผู้ตายได้มีปากเสียงกับผู้ตาย เนื่องจากลูกชายที่ป่วยเป็นออทิสติกซุกซน ชอบงัดข้าวของในบ้าน หลังจากมีปากเสียงกัน ทางสามีก็ออกไปทำงาน เวลา 15.00 น. สามีไม่สามารถติดต่อผู้ตายได้ จึงรีบกลับมาบ้าน เมื่อมาถึงบ้านพบว่ารถเก๋งของภรรยาจอดผิดปกติ ปกติแล้วจะหันหน้าออกไปทางประตูบ้าน แต่ครั้งนี้รถเก๋งกลับหันหน้าเข้าไปในบ้าน เห็นว่ามีควันออกมาจากรถจึงเปิดประตูรถ พบว่ามีเตาอั้งโล่ตั้งอยู่ จากนั้นรีบโทรแจ้งตำรวจ
ทีมข่าวได้เดินทางมายังบ้านแม่แตง เป็นบ้านของผู้ตาย พบว่าทางครอบครัวได้นำร่างของสองแม่ลูกมาบำเพ็ญกุศลศพ โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ญาติและชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจช่วยกันจัดงานศพ นำร่างของผู้เป็นแม่และลูกชายแยกกันใส่หีบศพ หีบแม่ตั้งไว้อยู่ด้านซ้ายมือ หากหันหน้าเข้าไป และนำหีบลูกชายไว้ด้านข้าง
โดยนางจัน ศรีประสม อายุ 80 ปี ยายผู้ตาย ได้นั่งมองดูหีบของหลานสาวและหีบของเหลน พร้อมกับร่ำไห้ เล่าว่า ภายหลังจากเกิดเหตุทางสามีของหลานสาวโทรมาแจ้ง ยอมรับว่าตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าหลานสาวจะตัดสินใจแบบนี้ ที่ผ่านมาหลานสาวไม่ได้มาปรึกษาอะไรให้ฟัง จึงไม่ทราบสาเหตุที่หลานสาวตัดสินใจฆ่าตัวตาย สำหรับลักษณะนิสัยของหลานสาวเป็นคนนิสัยดี ไม่มีใครเกลียด แต่เป็นคนไม่ชอบพูดอะไรให้ใครฟัง ขณะเดียวกันไม่ได้มีลางสังหรณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ได้ติดใจ
นางวิภาดา มามา อายุ 41 ปี น้าผู้ตาย เผยว่า ภายหลังจากเกิดเหตุ ทางสามีของหลานสาวได้โทรมาแจ้งข่าว ยอมรับว่าตกใจและเสียใจมาก ส่วนตัวแล้วไม่ได้สอบถามกับสามีของหลานสาวว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกคนก็เสียใจมากพอแล้ว ที่ผ่านมาตนเห็นว่าหลานสาวกับสามีรักกันดี ไม่มีปัญหา และหลานสาวไม่เคยมาปรึกษาปัญหาชีวิตหรือเรื่องครอบครัว สำหรับลักษณะนิสัยของหลานสาว เป็นคนจิตใจดี แต่มีปัญหาอะไรไม่ชอบพูดหรือระบายให้ใครฟัง ส่วนสามีของหลานสาวก็เป็นคนดี รักลูกชาย
ส่วนสาเหตุที่หลานสาวพาลูกชายรมควันในรถนั้น ตนไม่ทราบ และเดาใจไม่ถูกว่าหลานสาวเครียดเรื่องอะไร หากเป็นปัญหาเรื่องเงินก็ไม่มี หรือเรื่องครอบครัว ตนก็เห็นรักกับสามีเขาดี ขณะเดียวกันหลานสาวได้คบหาดูใจกับสามีของเขานามาแล้ว นอกจากนี้ หลานสาวของตนเสียพ่อและแม่ตั้งแต่เด็กแล้ว เหลือเพียงยายและตนเท่านั้นที่ดูแล หลานสาวถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว สำหรับตนไม่มีรางสังหรณ์ และหลานสาวจะมาเที่ยวหาครอบครัวอยู่เป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ตนและครอบครัวไม่ได้ติดใจเอาความ คิดว่าหลานสาวได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทางครอบครัวก็ทำได้อย่างเดียว จัดพิธีให้เขาไปสู่สุคติ ครอบครัวยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น