จากกรณีเพจ "แท่ทัพลิง2/3" ได้โพสต์รูปของพระเทพสุทิน สิริมงคโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุวัฑฒนาราม จังหวัดสมุทรสาคร ระบุข้อความว่า "พาเมียชาวบ้านเข้าโรงแรม ผัวจับได้เมื่อเช้า ขณะนี้สึกหนีไปแล้ว"
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
โกยแล้วโยม! เจ้าอาวาสควงสาวเข้าม่านรูด ผัวติด GPS จับ ญาติโต้สึกแล้วกลัดมัน
วันที่ 27 ส.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังวัดป่าสุวัฑฒนาราม (ทุ่งอินทรีย์) ต.หลักสาม อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร นายสันติ หงษา อายุ 51 ปี กำนันตำบลหลักสาม เปิดเผยว่า ล่าสุดพระนุยังไม่ได้กลับมาที่วัด และยังไม่มีเบาะแสว่าหนีไปอยู่ที่ใดกันแน่ ขณะนี้ก็ยังไม่มีพระมาจำวัด และดำรงตำแหน่งแทน ตนเองจึงต้องดูแลไปก่อน ในฐานะผู้นำชุมชน
ส่วนสามีของหญิงสาวดังกล่าวนั้น ก็ขอตัดขาดกับหญิงที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพระโดยเด็ดขาด ยืนยันกับตนเองว่ายังไม่ขอให้ข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติมอีก ส่วนความศรัทธาของชาวบ้านในพื้นที่ก็สั่นคลอนมาก เพราะทราบว่าเช้าวันที่เกิดเรื่อง 24 ส.ค. 64 พระนุยังออกบิณฑบาตตามปกติ ไม่ได้มีการบอกใครว่าจะลาสิกขาแต่อย่างใด
โดยบางส่วนของเฟซบุ๊ก พระเทพสุทินก่อนปิด เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 64 ได้โพสต์ภาพขณะบินฑบาต ระบุว่า "ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ค่อย ๆ 9 อย่ารีบร้อน"
สำหรับสามีของหญิงที่เข้าม่านรูดกับพระ ยืนยันแล้วว่าจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับภรรยาอีกแล้ว เนื่องจากรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะที่นางสาวกมลวรรณ ชาวหงษา และนายธนาธร สมตน หลานเจ้าของที่ดินวัด เปิดเผยว่า ตาและยายของตนเอง ได้บริจาคที่ดินแห่งนี้ประมาณ 10 ไร่ มอบให้ทำเป็นวัด และพระที่เคยเข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ ก็ตกเป็นข่าว และหายออกไป พร้อมกับเงินผ้าป่าและเงินกฐินที่ถวายให้ ทั้ง 2 รูป ทั้งพระปู และพระเทพสุทิน แล้วเมื่อไรวัดจะเจริญ โดยก่อนหน้านี้ ตากับยายตนเองได้ถวายที่ดินให้ทำเป็นวัด ก็อยากให้เป็นวัดที่มีชาวบ้านศรัทธา แต่พระนำเงินกฐินไปที่ใดไม่ทราบ และไม่ทราบจะตรวจสอบได้อย่างไรบ้าง เพราะพระหายไปพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง กฐินประมาณ 7-8 แสนบาท และจะให้เรื่องเงียบหรืออย่างไร
ในฐานะตนเองเป็นลูกหลานก็อยากเห็นวัดเจริญ และจากที่แม่ของพระนุบอก มองว่าพระจะสึกกลางพรรษาแบบนี้ได้หรือ ทั้ง ๆ ที่เป็นถึงเจ้าอาวาส ชาวบ้านที่เคยทำบุญให้จะได้อะไร โดยก่อนหน้านี้ตนเองเคยดูเฟซบุ๊กของพระนุก็เป็นพระสายธรรมยุติ และโพรไฟล์ค่อนข้างดี ล่าสุดทราบว่ามีการปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว ตนเองเคยเจอพระนุเพียงวันแรกที่พระนุเข้ามาในวัด และไล่คนดูแลเก่าแก่ออกไป พร้อมทั้งยังจะมาเรียกค่าเงินค่าน้ำค่าไฟกับพ่อแม่ตนเอง โดยอ้างว่าเปลืองค่าน้ำค่าไฟวัด จึงไล่คนที่เคยอยู่ในวัดออกไป ตนเองจึงมองว่าอาจจะไม่ใช่พระที่ดี
ส่วนตัวอยากให้พระนุได้รับโทษบ้าง ไม่ใช่สึกออกไปเฉย ๆ แบบนี้ ถ้าหากดำเนินคดีได้ก็อยากจะทำ มองว่าเรื่องจบง่ายเกินไป ส่วนที่ดินแห่งนี้ ก็อยากให้เป็นวัดต่อไป ตามเจตนารมณ์ของตากับยาย
ที่วัดบ้านไร่เจริญผล พระปลัดกฤษฎา สามะจิตโต เจ้าคณะตำบลมหาชัย พระที่สนิทสนมกับพระเทพสุทิน เล่าว่า วันที่ 25 ส.ค. 64 เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดได้มีการโทรศัพท์มาสอบถามอาตมาว่าติดต่อพระนุได้หรือไม่ บอกว่ามีคนมาแจ้งว่าพระนุเข้าโรงแรมกับผู้หญิง อาตมาจึงไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ เพราะยังไม่เห็นหลักฐาน แต่ขณะนั้นตกใจมาก กระทั่ง วันที่ 25 ส.ค. 64 เวลาประมาณ 14.00 น. พระนุโทรศัพท์มาหาอาตมาบอกว่าสึกแล้ว และเรื่องพาผู้หญิงเข้าโรงแรมเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ได้ถามรายละเอียดว่าสึกที่ไหน และพระนุก็บอกว่าได้นำรถของวัดมาจอดไว้ที่วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา ให้หาคนมานำรถกลับไปที่วัดด้วย โดยมีน้ำเสียง เครียด และเร่งรีบอย่างชัดเจน อาตมาพยายามสอบถามว่าจะไปไหน แต่พระนุก็บอกว่าอย่าเพิ่งถามอะไร และวางสายไป อาตมาจึงสอบถามพระวัดพนัญเชิง พบว่ารถไปจอดที่วัดจริง
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าพระนุลาสิกขาที่วัดบ้านไร่ ยืนยันว่าไม่จริง เพราะไม่มีใครพบเห็นพระนุเลยแม้แต่คนเดียว รวมถึงสอบถามไปยังวัดพนัญเชิง ก็ยืนยันไม่มีพระมาลาสิกขาที่นี่ ขณะนี้อาตมากลัวพระนุคิดสั้น เพราะบางอย่างต้องรอฟังจากพระนุด้วย ให้มาพูดเอง เท่าที่รู้จักมา พระนุเป็นคนตรง โผงผาง แต่จริงใจ และไม่เคยรับรู้ หรือมีเรื่องผู้หญิงมาก่อน แต่ไม่ค่อยได้คุยเรื่องส่วนตัว ส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องต่อเติมซ่อมแซมวัดต่าง ๆ อาตมายอมรับว่าเสียดายที่พระนุอาจจะทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ หากจะออกไปจากวัดก็ควรจะออกไปอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องการเบิกเงินภายในวัด เท่าที่อาตมาทราบจะต้องมีฆราวาสเซ็นเบิกด้วย พระนุจะเบิกเพียงรูปเดียวไม่ได้
ที่วัดราษฎร์ศรัทธากะยาราม ตำบลหลักสาม อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร พระครูอรรถสิทธิโกศล เจ้าคณะตำบลบ้านแพ้ว เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า วัดนี้เคยมีเรื่องราวก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ ปี 2563 คือเรื่องของพระกระทำอนาจารสามเณร ที่เคยเป็นข่าว และเรื่องก็จบไป อาตมาจึงมีการเสนอชื่อพระในการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสรูปใหม่ กับเจ้าคณะจังหวัด โดยมีการตรวจสอบอย่างดีแล้ว ทั้งเรื่องภูมิหลัง และพบไม่มีมีความเลวร้าย เป็นพระปฏิบัติดี บวชมานานกว่า 10 พรรษา และขณะนั้นพระเทพสุทินเคยดำรงตำแหน่ง พระเลขานุการของเจ้าคณะอำเภอ อาตมาจึงทำเรื่องแต่งตั้ง พระเทพสุทินขึ้นมาให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ระยะแรกยังปกติ และเมื่อพบเจอสถานการณ์โควิด จึงไม่ได้พบกับพระเทพสุทินมาประมาณ 3 เดือนแล้ว
อาตมาทั้งตกใจ และผิดหวังในตัวพระเทพสุทิน เสียใจที่วัดบอบช้ำมาพอสมควรแล้ว ตั้งใจจะให้เข้าไปพัฒนาวัด แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นมาอีก และปกติพระเทพสุทินก็อยู่วัดเพียงรูปเดียว และอาตมายังไม่ได้ส่งพระเข้าไปจำพรรษาที่วัดดังกล่าว ต้องรอให้พ้นช่วงพรรษาไปเสียก่อน จึงจะมีการพิจารณากันอีกครั้ง ส่วนการลาสิกขานั้น อาตมาไม่ทราบ เพราะอาตมาได้รับรู้ผ่านพระอีกรูปมา โดยพระเทพสุทินมีการโทรศัพท์มาบอกว่าพระรูปนั้นว่ามีการลาสิกขาแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าสึกที่ใด ฝากมาบอกลาอาตมาเท่านั้น และยังบอกว่ารถของวัดได้จอดอยู่ที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา และไม่ทราบว่าหญิงคนดังกล่าวไปที่ใด
อาตมายืนยันว่าช็อกมากกับเรื่องดังกล่าว เพราะพระเทพสุทินไม่เคยประพฤติแบบนี้มาก่อน และเรื่องนี้พระเทพสุทินก็อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระตั้งแต่ประพฤติแบบนี้แล้ว อาตมาจึงยึดใบสุทธิของพระเทพสุทินมาแล้วมีการสลักหลัง ให้ใช้ไม่ได้แล้ว และมีบัญชีมีเงิน จำนวน 244 บาท อาตมาจึงมองว่าพระเทพสุทินไม่น่าจะมีการสึกก่อนไปโรงแรมดังกล่าว ตามที่แม่ของพระเทพสุทินบอก เพราะอาตมา และพระผู้ใหญ่ไม่ทราบเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วเป็นถึงเจ้าอาวาสก่อนลาสิกขาจะต้องมาลากับอาตมาก่อน แต่ไม่มีใครทราบเรื่องเลย