จากกรณีตำรวจรวบพระพนม ซึ่งก่อนบวชได้คบหากับ ด.ญ.เจ อายุ 13 ปี กระทั่งพอผู้ปกครองของ ด.ญ.เจ ทราบเรื่อง นายพนมจึงไปสู่ขอตามประเพณี ก่อนพากันไปอยู่กินฉันสามีภรรยาที่ จ.ราชบุรี แต่หลังจากอยู่กินกันได้ไม่ถึงปี นายพนมได้ขอเลิกราพร้อมกับไล่ ด.ญ.เจ ออกจากบ้าน กลายเป็นเด็กเร่ร่อน กระทั่งมีคนพบเห็นให้ความช่วยเหลือพากลับคืนสู่ครอบครัว
ทางญาติจึงนำเรื่องเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสุพรรณ จนมีการออกหมายจับ ส่วนนายพนมพอทราบเรื่องได้หลบหนีมาบวชเป็นพระอยู่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี หลบหนีคดีเรื่อยมาเป็นเวลานานกว่า 11 ปี กระทั่งเจ้าหน้าที่ตามจับกุมได้
วันที่ 27 ส.ค. 64 ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังวัดหนองหวาย ม.3 ต.หนองกร่าง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี บรรยากาศในวัดเงียบสงบ กุฏิพระพนม ล็อกกุญแจปิดไว้
พระเจอะ หรือ พระหวีศรี อายุ 90 ปี พระลูกวัด วัดหนองหวาย เปิดเผยว่า วันที่ตำรวจมาจับนายพนม ปัทมพันธ์ อายุ 48 ปี ตนเองมองเห็น แต่ไม่รู้พูดอะไรกัน รู้แค่ว่าเจ้าหน้าที่มีหมายศาลมาจับคดีพรากผู้เยาว์ และให้เป็นพยานในการจับกุม หลังจากนั้นได้ถูกนิมนต์ให้ไปเป็นพระประธาน เพื่อให้พระพนมสึกเอง
ทั้งนี้ พฤติกรรมตอนพระพนม อยู่ที่วัดเรียบร้อย เงียบ ๆ สุขุม ไม่มีเรื่องเสียหายในวัด สวดมนต์ ปฏิบัติศาสนกิจเหมือนพระทั่วไป มีญาติโยม และสีกามาถวายข้าวของก็ทำตามปกติ
ช่วงที่เป็นพระไม่เคยเล่าเรื่องคดีความให้ฟัง ไม่เคยพูดให้คนในวัดฟัง คนในวัดไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ปมเรื่องหนีบวชมาล้างบาป ลดบาปกรรมที่เคยก่อไว้ในอดีต และชดใช้ความผิด มองว่าขึ้นอยู่กับความศรัทธาส่วนตัว แต่คดีทางโลกก็ต้องชดใช้ตามความผิด แต่ตอนที่บวชไม่ได้เสียหาย เพราะก่อเหตุก่อนบวชพระ
นายเล็ก สมบูรณ์ทรัพย์ กรรมการวัดหนองหวาย เปิดเผยว่า ตนมารู้เรื่องตอนที่ชาวบ้านโทรมาบอกว่าตำรวจมาที่วัด ประมาณ 10 คน มาจับพระสึก หนีคดีพรากผู้เยาว์ 11 ปี ยอมรับว่าไม่รู้เรื่องต้นสายปลายเหตุว่าเป็นอย่างไร แต่ตำรวจบอกว่าประกันตัวได้ จึงช่วยโทรบอกญาติให้มาดำเนินเรื่องเอง
ทั้งนี้ ช่วงเป็นพระไม่มีปัญหากับใคร พูดจาน้อย ไม่มีเรื่องฉาว เรื่องสีกาที่วัดไม่เคยมี ไม่เคยหนีไปเที่ยวที่ไหน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของวัดเสียหาย ตอนที่พระพนมมาอยู่หรือถือศีลที่วัด ชาวบ้านก็กราบไหว้ตามปกติ เมื่อทราบเรื่องก็ตกใจ
ทีมข่าวลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี น.ส.เจ อายุ 24 ปี ผู้เสียหาย เปิดใจว่า เมื่อ 11 ปีก่อน ตนเจอกับพระพนม ที่วัดพระธาตุ ตนเองกับแม่ไปกินข้าว ไปล้างปิ่นโต จึงเจอกับพระ และชอบกันจนคบกันเชิงชู้สาว และเคยมีอะไรกัน ทำทุกอย่างเหมือนแฟนกัน ทั้งที่พระพนมอยู่ในผ้าเหลือง
หลังจากนั้น พระพนมสึกออกมาและมาผูกข้อมือกับตน ครอบครัวรับรู้ และให้เงินอีก 10,000 บาท และไปเช่าห้องอยู่ด้วยกันในจังหวัดสุพรรณบุรี อดีตพระพนมไปทำงานเป็น รปภ. ทำได้ไม่นาน อยู่กันได้สักพัก นายพนมบอกว่าจะกลับไปหาญาติที่ จ.ราชบุรี และจะมารับ ก่อนพาไปฝากไว้กับเพื่อนแม่ตนเองที่วัดหอยโข่ง จ.สุพรรณบุรี และบอกว่าจะกลับมารับ ก่อนจะหายตัวไปไม่กลับมาอีกเลย
ตนเองได้แต่นั่งรอนายพนมทุกวัน ติดต่อไม่ได้ จนแน่ใจแล้วว่าไม่กลับมาแล้ว และบ้านที่ไปอยู่ด้วยเป็นแหล่งค้าประเวณี ตนจึงตัดสินใจทำงานค้าประเวณี ทำได้สักพักจึงตัดสินใจหนีออกมา ไปหาเพื่อนรุ่นพี่ ขอนอนอยู่กับเขา จนไปติดยาเสพติด และไปโดนจับตรวจฉี่เป็นสีม่วง โดนจับเข้าบ้านพักเด็ก เจ้าหน้าที่ซักประวัติและตรวจร่างกาย จึงรู้ว่าตนท้องได้ 4 เดือน ตำรวจจึงดำเนินคดีกับชายที่มาซื้อบริการ รวมถึงตัวนายพนมด้วย ยอมรับว่าชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็น
หลังจากนั้น ติดต่อไปหาแม่ของนายพนม แต่ก็ไม่ยอมรับบอกว่าลูกชายทิ้งไปแล้ว จะท้องได้อย่างไร ยอมรับว่าคิดจะทำแท้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ เพราะร่างกายไม่แข็งแรง สงสารเด็ก เมื่อคลอดออกมาจึงยกลูกให้กับศูนย์ช่วยเลี้ยงดู เนื่องจากตนเองไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ จนกระทั่งรู้ข่าวว่านายพนมโดนจับ ตนรู้สึกสะใจ สมน้ำหน้า แต่จะสะใจกว่าถ้าโดนจับแล้วไม่ได้มีวันออกมา เจ็บใจที่นายพนมไม่รักลูก สัตว์แท้ ๆ ยังรักลูก แต่เป็นคนแท้ ๆ ทำไมไม่รักลูก บวชเพื่อใช้ผ้าเหลืองปกปิดความผิดตนเอง ปิดความชั่วตัวเอง แต่ลบเลือนความผิดไม่ได้ ต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้ ตนรอวันนี้มานานแล้ว