สืบเนื่องจากคดีการสมคบกันเพื่อหาคนมารับผิดแทน นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ ศรีบุญหอม อายุ 55 ปี อดีตข้าราชการครูในจังหวัดสกลนคร ที่ร้องเรียนเพื่อรื้อฟื้นคดีขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ นายเหลือ พ่อบำรุง ถึงแก่ความตาย เพื่อให้ศาลพิจารณาใหม่ว่านางจอมทรัพย์ มีความผิดหรือไม่นั้น
ศาลจังหวัดนครพนมมีคำพิพากษา คดีอัยการจังหวัดนครพนมเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสับ วาปี และนางจันทร์ วาปี สองสามีภรรยา รวม 5 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาซ่องโจร ข้อหาร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความอาญาแก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
ล่าสุด ศาลจังหวัดนครพนม พิพากษาให้จำคุก จำเลย ทั้ง 2 ที่มีการกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษ นายสับ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ จำคุก 2 เดือน ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ ลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน จำคุก 5 เดือน ฐานเบิกความเป็นอันเท็จ ในการพิจารณาคดีต่อศาล จำคุก 3 ปี และฐานซ่องโจร โทษจำคุก 1 ปี รวมเป็น 4 ปี 6 เดือน แต่นายสับ วาปี จำเลยที่ 1 ให้การสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ รวมเหลือโทษจำคุก 2 ปี 10 เดือน
ส่วนนางจันทร์ วาปี จำเลยที่ 2 ภรรยาของนายสับ ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 6 เดือน แต่ให้การสารภาพลดโทษ เหลือจำคุก 1 ปี 9 เดือน
โดยศาลยังพิเคราะห์ว่าพฤติการณ์ของนางจันทร์ แม้จะมีอายุมาก อีกทั้งมีปัญหาสุขภาพร่างกาย และไม่มีประวัติกระทำผิดมาก่อน แต่การกระทำผิดครั้งนี้ เป็นการกระทำเนื่องจากเห็นแก่อามิสสินจ้าง เพื่อประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ นับเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ