วันที่ 2 ก.ย. 64 นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ ได้รับคำอนุุญาตจากจากศาลและหนังสือประสานจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องการขอย้ายตัว พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ และพวกรวม 7 ราย จากเรือนจำกลางพิษณุโลกมาเรียบร้อยแล้ว จะต้องดำเนินการย้ายสถานที่คุมขังทั้ง 7 คน ไปคุมขังยังเรือนจำกลางคลองเปรม ตามมาตราการป้องกันโควิดของกรมราชทัณฑ์
นางบวรลักษณ์ พงษ์สุกฤฏิ แม่ของหมู่ต้อม หรือ ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว เปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า กรณีที่มีการโอนคดีรับผิดชอบให้กองปราบปราม และมีการทำเรื่องขอย้าย 7 ผู้ต้องหาเรือนจำพิเศษพิษณุโลก ไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯนั้น ส่วนตัวไม่ทราบขั้นตอนทางกฎหมาย ระเบียบและวิธีการกำหนดเอาไว้อย่างไรก็ต้องว่าไปตามนั้น
การโอนคดีให้กับกองปราบปรามเข้ามาดูแล ก็ถือว่ามีความจำเป็นที่จะต้องย้ายตัวของผู้ต้องหาไปอยู่ใกล้กับส่วนสำนักงานกองปราบ เพื่อที่จะทำงานง่ายขึ้น แต่ในฐานะคนในครอบครัว กลับมองว่าการฝากผู้ต้องขังเอาไว้ที่เรือนจำพิเศษพิษณุโลกเป็นเรื่องที่มีความปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องของโรคระบาด เพราะเรือนจำพิษณุโลกยังเป็นพื้นที่สีเขียว และปลอดจากผู้ติดเชื้อ อีกทั้งการที่ตนเองอาศัยอยู่ในพื้นที่นครสวรรค์สามารถที่จะเดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องหาที่เรือนจำพิษณุโลกได้อย่างสะดวก
ส่วนกรณีเกี่ยวกับคำพูดของผู้กำกับโจ้บอกในเรือนจำว่า "ผมเองไม่ได้ผิด สักวันจะกลับออกมา" ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามกระบวนการกฎหมาย ต้องมีการพิสูจน์ตามข้อเท็จจริง ไม่สามารถไปก้าวล่วงกระบวนการทางยุติธรรมได้ โดยเฉพาะเรื่องของคลิปวงจรปิดที่ปรากฏออกมา ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันต่อไป ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความผิด เพราะอย่างน้อยจากเจตนาอาจเป็นเพียงความประมาทก็ได้ เชื่อว่าการกระทำทั้งหมดของผู้กำกับโจ้เกิดจากในฐานะผู้บังคับบัญชา ต้องการที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้มีคนตาย จึงมองว่าคนทำงานก็ย่อมมีความผิดพลาดเสมอ ถ้าคนไม่ทำงานก็อาจจะไม่มีความผิดพลาดก็ได้
ทั้งนี้ กระแสข่าวผู้กำกับโจ้อาจป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ มีลูกน้องคนสนิทนำตัวยามามอบให้กับพนักงานสอบสวน เพื่อยืนยันว่าตัวของผู้กำกับต้องทานยาสม่ำเสมอนั้น ตนเองไม่รู้ข้อเท็จจริง เท่าที่ตนเองรับฟังจากหมู่ต้อม ไม่เคยพบความรุนแรงของผู้กำกับโจ้ เพราะเวลาที่ผู้กำกับเรียกลูกน้องก็จะใช้คำว่า "พี่ น้อง" มากกว่า ไม่เคยใช้คำพูดที่เป็นลักษณะหัวหน้าสั่งลูกน้อง ผู้กำกับไม่ได้มีการใช้อำนาจ หรือแม้แต่อารมณ์ที่ทำให้ตัวของลูกชายได้รับผลกระทบ หรือได้รับอันตราย ยกเว้นอาจจะมีบางเรื่องที่ลูกชายไม่ได้เล่าให้ฟังก็ได้
นายสมพงษ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนคนอื่น การสอบสวนตัวของ ผกก.โจ้ สอบสวนเสร็จแล้ว วันนี้ยังให้การว่ากระทำจริง แต่เขาอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่า อ้างว่าต้องการแค่เค้นข้อมูล ยืนยันการสอบสวนในครั้งนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เมื่อเราแจ้งข้อกล่าวหาเขาว่าฆ่าคนตายโดยเจตนา เล็งเห็นผลโดยทารุณโหดร้ายและทนทุกทรมาน หลักการตามกฏหมายยังอยู่เหมือนเดิม ส่วนตัวผู้ต้องหามีสิทธิของเขา แต่ในบทบาทของพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ เราจะดูว่าพยานหลักฐานของเราที่ปรากฏ มีลักษณะของการเจตนาที่จะฆ่าจริงหรือไม่ มีลักษณะทารุณโหดร้ายจริงหรือไม่
ส่วนเรื่องไบโพลาร์ที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างนั้น ดูจากหลักฐานในการกระทำตามคลิป คนเป็นไบโพลาร์ เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้วทำไมไม่เกี้ยวกราดต่อ แต่ทำไมกลับมีอาการตกใจ ช่วยปั๊มหัวใจ สั่งให้ทำลายหลักฐานลบคลิปทั้งหมด คนไบโพลาร์ทำไม่ได้ เพราะลักษณะของ ผกก.โจ้ รู้ผิดชอบชั่วดี มีการให้พาไปโรงพยาบาลด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ประวัติ ผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ตำรวจหนุ่มเจ้าของฉายา โจ้ เฟอร์รารี่
- ประวัติ ใบเตย พรพจี พิธีกรสาวชื่อดัง ลูกบิ๊กตำรวจ แฟน ผู้กำกับโจ้
- ปูดพิกัด "ห้องเหลือง" สถานที่ใช้ทรมานคดีบิ๊กตำรวจ ถุงคลุมหัวรีดเงินล้านผู้ต้องหาดับ
- ทนายษิทรา แชร์คลิปอ้างนาที ผู้กำกับโจ้ คลุมถุงพ่อค้ายารีดเงิน 2 ล้าน จนเสียชีวิต
Advertisement