จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Suratthani Exclusive โพสต์ข้อความพร้อมภาพระบุ "มาเฟียในคราบตำรวจ สภ.เกาะพงัน ปล่อยกู้ให้ชาวบ้านดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อวัน ใครเซ็นสัญญาเงินกู้ไป และถ้าหากจ่ายไม่ไหวทบต้นทบดอกที่ส่งมาไม่คิดให้ ชอบบุกรุกบ้านคนอื่น ทั้งๆ ที่ร้านปิด และที่สำคัญ ทำคดีอันเป็นเท็จ ให้คนที่กู้เงินได้รับโทษทางอาญา กลั่นแกล้งประชาชนข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ โดยสร้างเอกสารเท็จขึ้นมา"
ล่าสุด วันที่ 3 ก.ย. 64 ที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ร.ต.อ.วิริยะพงศ์ ศรีนวลปาน หรือ กอบ ได้ประสานผ่านทาง พ.ต.อ.ปัญญา นิรัตน์มานนท์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเกาะพะงัน เพื่อจะขอมาชี้แจงกับทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ระบุว่า ตนได้ดูข่าวอมรินทร์ทีวีถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องการข่มขู่ทวงเงินดอกเบี้ยโหด เรื่องพฤติกรรมกร่างหยิบผลไม้ และพฤติกรรมต่าง ๆ หลังจากข่าวออกไป ทั้งญาติทั้งเพื่อนก็โทรมาถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น ตนจึงตัดสินใจที่จะออกมาชี้แจง
เรื่อที่ตนรู้จักกับนางอรวรรณ นางอรวรรณกับแม่ของเขามาแจ้งความที่โรงพัก เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปี 2563 ขณะนั้นตนทำหน้าที่เป็นร้อยเวรรับเรื่องที่นางอรวรรณและแม่จึงลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ร้านผลไม้ที่เกิดเรื่องขึ้นบ่อยครั้ง บวกกับร้านผลไม้ของนางอรวรรณเป็นทางผ่านที่ตนจะต้องเดินทางมาจากบ้านไปโรงพัก ก็แวะเวียนพูดคุยกันอยู่บ่อย ๆ หลังจากนั้นนางอรวรรณกับแม่ของเขาก็มีการปรึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้กับตน จึงเริ่มมีความสนิทสนมกันมาตั้งแต่ตอนนั้น
ส่วนเรื่องเงินกู้ที่นางอรวรรณออกมาแฉ ว่าตนปล่อยเงินกู้และเรียกเก็บดอกร้อยละ 20 ก็ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมาจาก นางอรวรรณมาขอยืมเงิน อ้างว่าเดือดร้อนจะเอาเงินไปจ่ายค่าทุเรียน 25,000 บาท ตนก็ให้ยืมไปเพราะว่าเริ่มมีความสนิทสนมกัน หลังจากนั้น นางอรวรรณกับแม่ของเขาก็เริ่มชักชวนให้ตนนำเงินมาร่วมลงทุนปล่อยเงินกู้ ตนก็ยังบอกกับทั้งคู่ไปว่าผิดกฎหมาย ตนทำแบบนั้นไม่ได้ ซึ่งทั้งคู่ก็บอกแต่ว่าแค่เอาเงินมาเดี๋ยวจัดการเอง แล้วจะแบ่งเงินส่วนที่ได้เป็นดอกเบี้ยให้ ตนก็ได้ให้เงินร่วมลงทุนกับนางอรวรรณไป 2 ครั้ง คือ 8,000 บาท และ 10,000 บาท
จากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน นางอรวรรณเงียบไป ตนจึงเอะใจว่าใครเป็นคนกู้กันแน่ เพราะนางอรวรรณพาคนนอกพื้นที่มาเซ็นสัญญาทุกครั้งที่มีการกู้ แล้วก็ไม่เคยได้รับเงินส่วนแบ่งกลับคืนมา ตนเห็นท่าไม่ดีจึงบอกกับนางอรวรรณให้หาเงินมาคืนทั้งที่ยืมไปและเงินลงทุนปล่อยดอกเป็นจำนวนเงิน 43,000 บาท และขอเงินส่วนที่ตนจะได้ในการลงทุน 2,000 บาท เป็นยอดเงิน 45,000 บาท
ซึ่งความที่ตนกลัวจะไม่ได้เงินคืน ก็มีการตกลงทำสัญญากันกับนางอรวรรณในวันที่ 3 มิ.ย. และมีนางจันทนาเซ็นเป็นพยาน แต่ก่อนจะเซ็นสัญญา ตนบอกกับนางอรวรรณว่าสัญญาที่จะเขียนขึ้น ตนจะเขียนแค่สถานที่กับรายละเอียดชื่อผู้กู้เท่านั้น นางอรวรรณก็ตกลง แต่ปรากฏว่านางอรวรรณเล่นแง่ ลงข้อความในสัญญาระบุว่ายอดเงินทั้งหมดเป็นการกู้เงิน และยังลงในสัญญาอีกว่าตนเรียกรับเงินดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อวัน พอตนเห็นข้อความที่นางอรวรรณเขียนก็ยังบอกกับนางอรวรรณว่าตนไม่เซ็น เพราะสัญญาที่คุยกันตนอยากจะมีหลักฐาน เพื่อต้องการเงินของตนคืนเท่านั้น ไม่ได้ต้องการเงินดอกตามที่อรวรรณเขียน
ส่วนประเด็นที่เอาเรื่องตนไปร้องเรียนว่า ตนไปข่มขู่ทวงเงินที่ร้านตามกล้องวงจรปิด แล้วมีการใส่หมวกกันน็อก ชี้หน้าว่านางจันทนา ตนยืนยันว่าไม่ได้ไปชี้หน้าหรือด่านางจันทนา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนผ่านไปแถวนั้นแล้วเห็นนางจันทนาเปิดร้านอยู่ ก็เลยจอดรถ ลงไปทักทายแล้วก็ทวงถามเงินของตนว่าตนจะได้เงินคืนเมื่อไรเท่านั้น แต่นางจันทนาก็ตอบไม่ได้ จึงโทรหานางอรวรรณ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้ตนคุยแบบไหนคลิปกล้องวงจรปิด ส่วนที่นางจันทนากล่าวหาว่าชี้หน้าด่าว่าอีแก่ ยืนยันว่าไม่ได้ทำแบบนั้น
สำหรับเรื่องผลไม้ที่นางจันทนาอ้างว่าตนมักมีพฤติกรรมหยิบผลไม้ไปโดยไม่จ่ายเงิน อยากจะชี้แจ้งว่าทุกครั้งที่ตนหยิบผลไม้ ตนก็จะจ่ายเงินทุกทั้ง แต่ทางนางจันทนาก็บอกว่าเอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงิน ตนก็เอาเพราะว่าจะได้ไม่เสียน้ำใจเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นก็อยากจะให้นางอรวรรณและนางจันทนาพูดหรือให้ข้อมูลสื่อไปตามความเป็นจริง เพราะเงินที่ตนให้ไป ตนก็อยากได้คืน แต่ทำไมต้องมาทำให้เป็นเรื่องถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมาตนย้ำกับแม่ลูกคู่นี้อยู่ตลอดว่าตนอยากได้เงินคืนเท่านั้น และก็ไม่ต้องการดอกเบี้ยร้อยละ 20 อะไรทั้งสิ้น ยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจและจะทำหน้าที่ตำรวจที่จะต้องดูแลความเรียบร้อยกับคนในพื้นที่เกาะพะงันต่อไป
ด้านนางอรวรรณ คู่กรณี ออกมายืนยันว่า ไม่เคยยืมเงินจำนวน 25,000 บาทจากตำรวจรายนี้ และไม่ได้ชักชวนมาร่วมทุนปล่อยเงินกู้เพราะตนเองเปิดบริษัทในการประกันตัวผู้ต้องหา และรับจำนองที่ดินเท่านั้น ไม่ปล่อยเงินรายวัน เช่นเดียวกับสัญญาเงินกู้ 45,000บาท ทางตำรวจรายนี้ก็มาบังคับให้แม่เป็นคนทำเช่นกัน มีหลักฐานข้อความแชตต่าง ๆ พร้อมดำเนินคดี
และเงิน 25,000 บาท ก็เป็นคนอื่นที่ยืม แต่เขากลับโอนเงินมาเขาบัญชีตนเอง ซึ่งตนเองก็ถามไปว่าทำไมไม่โอนให้คนยืมโดยตรงโดยผู้ที่ยืมเงินตัวจริงก็พร้อมจะมาให้ข้อเท็จจริงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนในเรื่องที่ตำรวจบอกว่าไม่ได้หยิบผลไม้โดยพละการ และอยากจะจ่ายเงิน แต่แม่บอกให้เอาไปกินได้ ไม่ต้องจ่ายเงินนั้น ตนเองยืนยันเลยว่าเขามาหยิบไปเฉย ๆ ซึ่งก่อนหน้าที่แรงงานพม่าก็โทรมาบอกว่ามีตำรวจมาเอาผลไม้ไป 400 กว่าบาท แต่ไม่จ่ายเงิน ตนก็พอรู้ว่าเป็นใคร และบางครั้งก็มาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมะพร้าวไปดื่มเฉย ๆ จนแม่ต้องติดป้ายอย่าหยิบผลไม้ เพราะซื้อมาด้วยเงิน ขอยืนยันว่าทุกเรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริง