เปิดภาพหนุ่มไอคิวสูงคลั่งก่อนดิ่งตึก พ่อรับเป็นต้นเหตุ เจ้าลัทธิอึ้งโดนหมอปลาจับไต๋ (คลิป)

กรณีนายมนวีร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ตัดสินใจกระโดดตึกเสียชีวิต ภายในซอยประชาอุทิศ 9 แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับลัทธิบางอย่าง เพราะนายมนวีร์ มักจะกราบไหว้แสงแดดและดวงอาทิตย์ แต่พ่อของนายมนวีร์ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิใด ๆ 

พ่อของนายมนวีร์ ยังระบุว่า หากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เดิมทีลูกชายเป็นคนที่เรียนเก่งมาก ๆ สอบติดแพทย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แต่เรียนไม่จบก็กลับมาเรียนสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งตนก็ทราบว่าในช่วงที่เรียน ลูกชายเริ่มอ่านหนังสือพระไตรปิฎกแล้ว แต่ตอนนั้นลูกชายยังไม่มีอาการอะไร ซึ่งหลังจากลูกชายเรียนจบปริญญา ลูกชายก็ไปเป็นครูประมาณ 3 ปี หลังจากนั้นก็ลาออกมาเป็นอาจารย์กรวดวิชาอีก 2 ปี แต่สุดท้ายก็ลาออก เพราะลูกชายเริ่มป่วยทางประสาทกลายเป็นคนเก็บตัว 

กระทั่งทีมข่าวเดินทางไปยัง "บ้านรักษาดวงจิตพุทธคุณ" ตั้งอยู่ย่านถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ และได้พบกับ อาจารย์ฝน ดวงจิตพุทธคุณ เจ้าสำนัก กล่าวยืนยันว่าการเสียชีวิตของนายมนวีร์ ไม่เกี่ยวกับการรักษาของตน และไม่ใช่เพราะไม่กินยาจิตเวช แต่เขาเสียสติเพราะสมองผิดเพี้ยนและศึกษาหนังสือพระไตรปิฎกมากเกินไป

ล่าสุดวันที่ 8 ก.ย.64 เวลา 10.30 น. ที่วัดบางปะกอก แขวงบางปะกอก เขตบางปะกอก เขตราษฏร์บูรณะ กรุงเทพฯ ซึ่งนายนัน (นามสมมติ) อายุ 63 ปี พ่อของผู้เสียชีวิต ได้ทำบุญถวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์จำนวน 10 รูป และสวดมาติกาบังสุกุล เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้กับนายมนวีร์

นายนัน พ่อของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากการที่ตนพานายมนวีร์ ไปรักษาอาการทางจิต เป็นโรคที่คิดอยากทำอะไร ก็จะมุ่งมั่นทำอย่างสุดโต่ง แต่ก็รักษาไม่หายเสียที ซึ่งช่วงเดือนมี.ค.-มิ.ย.64 ตนก็พาลูกชายไปรักษาอาการทางจิตเวชที่ รพ.สมเด็จเจ้าพระยา ใช้วิธีช็อตไฟฟ้าวันละ 9 ครั้งแต่ก็ยังไม่หาย และยังมีผลข้างเคียงจากการถูกไฟช็อต กล้ามเนื้อเริ่มเกร็ง ทำให้ลูกชายไม่อยากไปรักษา รวมถึงลูกชายกินยาได้เพียงเดือนเดียวก็ไม่ยอมกินยา ตนก็หมดสิ้นหนทาง และมีคนแนะนำให้รู้จักอาจารย์ฝน สำนักบ้านดวงจิตพุทธคุณ 

กระทั่งช่วงเดือนมิ.ย.64 จึงได้ตัดสินใจพาลูกชายไปรักษากับอาจารย์ฝน โดยที่ตนก็ไปรักษาอาการเบาหวาน, ความดัน และโรคหัวใจด้วย ซึ่งกฎในการรักษาคือห้ามกินยา ห้ามไปหาหมอ และต้องรักษาศีล 5 ซึ่งตนและลูกชายก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี เพราะหวังว่าความศรัทธาจะช่วยทำให้เกิดปาฏิหาริย์

ในช่วงที่พาตัวลูกชายไปรักษากับอาจารย์ฝน ลูกชายก็ไม่ได้กินยาจิตเวช กินเพียงน้ำมนต์ของอาจารย์ฝนแทน และให้อาจารย์ฝน ใช้ฝ่ามือเอกซเรย์และรักษาเดือนละ 3 ครั้ง ซึ่งนายมนวีร์ อาการก็ดีขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ ไม่มีอารมณ์รุนแรง แม้จะไม่กินยาจิตเวช อาการดีขึ้นในช่วงเวลา 3 เดือน ขณะเดียวกันตนที่ป่วยเป็นความดัน เบาหวานและโรคหัวใจ ก็รักษากับอาจารย์ฝน และได้รับการรักษาแบบเดียวกันโดยไม่ได้กินยาจากแพทย์ กินแค่น้ำมนต์ สวดมนต์ รักษาศีล 5 แต่กลับมีอาการดีขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตนมีความศรัทธามากขึ้นเรื่อย ๆ 

นายนัน ยังกล่าวอีกว่า แม้ลูกชายอาการจะดีขึ้น แต่ช่วงหลังอาจารย์ฝน วินิจฉัยว่าลูกชายเริ่มมีเส้นประสาทผิดเพี้ยน ทำให้แสดงอาการเหมือนคนเสียสติ ซึ่งช่วงแรกก็นัดรักษากับอาจารย์ฝนแล้ว แต่ลูกชายเริ่มต่อต้านและไม่ต้องการไปรักษา ทำให้ลูกอาการจิตกำเริบและกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ซึ่งตนไม่อยากให้สังคมมองว่าตนเป็นคนพาลูกไปรักษาและทำให้ลูกฆ่าตัวตาย แต่ตนอยากบอกว่าตนก็หมดหนทางที่จะรักษา จึงต้องพึ่งพาอาจารย์ฝน เพราะหวังว่าจะช่วยตนและลูกชายได้

อย่างไรก็ตาม มีคำพูดสุดท้ายก่อนที่ลูกชายจะหนีไปนอกบ้านและกลับมาฆ่าตัวตาย เขาบอกว่า "เขาโตแล้วและไม่อยากเป็นภาระพ่อ" ซึ่งตนคิดว่านี่ความคิดของเขาที่อยากฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากเป็นภาระใคร ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ฝน ที่ทำให้เขาฆ่าตัวตาย

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้ภาพในวันเกิดเหตุ ซึ่งเป็นช่วงที่นายมนวีร์ เหม่อลอย ก่อนที่จะกระโดดตึก โดยเจ้าตัวมีการนั่งประนมมือ เดินพนมมือ และไปยืนอยู่บนดาดฟ้าของบ้าน นอกจากนี้ ยังมีคลิปเก่า ๆ ของนายมนวีร์ ที่เจ้าตัวมีอาการป่วย เหม่อลอย และประนมมือไหว้สิ่งต่าง ๆ บางครั้งก็ก้มกราบลงที่พื้น

ทีมข่าวเดินทางไปยัง "บ้านรักษาดวงจิตพุทธคุณ" ตั้งอยู่ย่านถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เขตประเวศ กทม. ซึ่งขณะที่ไปถึง อาจารย์ฝน เจ้าสำนักบ้านดวงจิตพุทธคุณ กำลังรักษาคุณยายวัย 80 ปี ที่ป่วยอัลไซเมอร์ ด้วยการใช้มือซ้ายสัมผัสไปตามอวัยบนร่างกาย และจับที่หัวไหล่ของผู้ป่วย สั่งให้อาการเจ็บ รวมถึงอาการอักเสบหายไป ซึ่งหลังจากที่รักษาเสร็จ ยายคนดังกล่าวก็บอกว่ามีอาการดีขึ้น แต่โรคอัลไซเมอร์ไม่หายขาด จากนั้นอาจารย์ฝน ก็ได้ให้น้ำมนต์ทิพย์กลับไปกิน 9 ขวด และนัดให้กลับมารักษาอีกหลายครั้ง

ทีมข่าวจึงได้พูดคุยกับนางแรม (นามสมมติ) อายุ 57 ปี ลูกสาวของคุณยายป่วยอัลไซเมอร์ กล่าวว่า ตนเคยรักษาจนหายจากโรคมะเร็งปากมดลูก เมื่อช่วงปี 2558 ตอนนั้นตนเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 ซึ่งหมอให้ตัดมดลูกทิ้งไปส่วนหนึ่ง และนัดให้ไปดูอาการ แต่ตนตัดสินใจว่าจะไม่ไปหาหมอ เลือกที่จะรักษากับอาจารย์ฝน ด้วยการอัดพลังแก้อาการ และดื่มน้ำมนต์ทิพย์ โดยตลอดระยะเวลา 6 ปี ตนไม่เคยกินยาแพทย์แผนปัจจุบันแม้แต่เม็ดเดียว เจ็บไข้ไม่สบายก็จะมารักษากับอาจารย์ฝน ทำให้ตนเชื่อ 100 เปอร์เซ็น อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าการมารักษากับอาจารย์ฝนเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่ต้องเสียเงินและค่าใช้จ่ายมากมาย อาจารย์ฝนรักษาได้ทุกอย่างทุกโรคตั้งแต่หัวจรดเท้า

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ อาจารย์ฝน ดวงจิตพุทธคุณ เจ้าสำนัก เปิดเผยว่า สำหรับอาการของนายมนวีร์ ที่มีอาการควบคุมตัวเองไม่ได้จนฆ่าตัวตายนั้น ตนยืนยันว่าอาการทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับสำนักบ้านรักษาดวงจิตพุทธคุณ เพราะนายมนวีร์ เดิมทีมีอาการป่วยทางจิตอยู่แล้ว ซึ่งเขาเคยมารักษากับตนตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.64 ซึ่งรักษาติดต่อมาเกือบ 3 เดือน อาการของเขาก็ดีขึ้นและแทบจะหายเป็นปกติแล้ว

กระทั่งก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตาย อาการของนายมนวีร์ เริ่มกำเริบอีกครั้ง มีอาการเหม่อลอย และไม่ฟังใคร ซึ่งตนและพ่อของเขาพยายามนำตัวมารักษา แต่เขาก็เกิดการต่อต้านและไม่ยอมให้รักษา โดยเขาพูดว่า "เราจะไม่รักษากับเจ้า" จดจำตนไม่ได้ทั้งที่เคยสนิทกันมาก ๆ หลังจากนั้นก็เกิดเหตุกระโดดตึกฆ่าตัวตาย จึงเป็นเพราะนำตัวมารักษาไม่ทัน ทำให้เขาเป็นเช่นนั้น

อาจารย์ฝน ยังกล่าวอีกว่า ก่อนที่นายมนวีร์ จะเสียชีวิต เขาเริ่มมีอาการคลั่ง นั่งเอาศีรษะโขกพื้นและเอาแต่พูดว่า "ผมผิดไปแล้ว ๆ" หลังจากนั้นก็วิ่งไปเอาตะหลิวมาจากในครัวและวิ่งไปหน้าบ้าน ซึ่งพ่อของนายมนวีร์ ก็ถามว่า "จะทำอะไร" นายมนวีร์ ก็บอกว่าจะเอาไปผัดกับข้าวหน้าบ้าน ตนก็รีบเตือนให้พ่อของนายมนวีร์ล็อกทางขึ้นดาดฟ้าไว้ด้วย และเก็บมีดออกจากครัวให้หมด เพราะตนคาดว่านายมนวีร์ ต้องทำร้ายตัวเองอย่างแน่นอน แต่พ่อของนายมนวีร์ ลืมล็อกทางขึ้นดาดฟ้า จึงทำให้เกิดเหตุสลดดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ข่าวออกไปว่าตนรักษาได้ทุกโรค และทำให้สังคมวิพากวิจารณ์นั้น ตนก็ไม่ได้กังวลกับสิ่งที่สังคมตำหนิ เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญานของแต่ละบุคคล ซึ่งหากมีความเชื่อและความศรัทธา ตนก็ยังยืนยันว่าสามารถรักษาโรคได้หายจริง ๆ

นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี ได้เดินทางมาที่ "บ้านรักษาดวงจิตพุทธคุณ" และนั่งประชันหน้าพูดคุยกับอาจารย์ฝน เจ้าสำนัก ซึ่งหมอปลาได้สอบถามถึงความเป็นมาของการรักษา

โดยอาจารย์ฝน กล่าวอ้างว่า ตนใช้ดวงจิตพุทธคุณในการรักษามนุษย์ ส่วนการรักษาโควิด-19 ตนไม่เคยเผยแพร่หรือชักชวนใครมารักษา แต่ตนก็รักษากันภายในกลุ่มที่ศรัทธาและยืนยันว่าหายจริง แต่คนป่วยจะต้องมีความศรัทธา

ขณะเดียวกัน นางแรม ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ช่วยยืนยันว่าอาจารย์ฝน สามารถรักษาแม่ของตนที่หัวไหล่อักเสบ จนสามารถยกแขนได้ รวมถึงตนเคยเป็นมะเร็งปากมดลูก และสามารถรักษาอาการหายได้จริง ๆ

ต่อมาหมอปลาได้ขอให้อาจารย์ฝน ช่วยรักษาคนที่มาด้วย เพราะเขาขาซ้ายอ่อนแรง แต่อาจารย์ฝนปฏิเสธ โดยอ้างว่าจะรักษาให้กับคนที่ศรัทธาเท่านั้น และคนที่รักษาต้องสวมชุดขาวของสำนักบ้านรักษาดวงจิตพุทธคุณ

อาจารย์ฝน ยังบอกอีกว่า วิธีการรักษาของตนคือการใช้ฝ่ามือซ้ายที่เคยมีเลือดพระพุทธเจ้าหลั่งใส่ สัมผัสไปยังคนที่เจ็บปวดเพื่อเอกซเรย์และรักษา ซึ่งกาารักษาแต่ละคนอาจจะต้องใช้เวลานาน เพราะต้องตรวจสอบหลายอย่าง และตนยืนยันว่ารักษาโรคมะเร็งหายได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำตามกฎของตน ห้ามกินยาและห้ามใส่สิ่งแปลกปลอมขณะรักษา ซึ่งตนรู้ดีว่าน้อยคนที่จะเชื่อ แต่ตนก็ยืนยันว่าหายได้จริง ๆ

ต่อมาหมอปลาได้ตั้งข้อสงสัยกับขวดน้ำที่เรียงรายอยู่ข้าง ๆ อาจารย์ฝน ซึ่งสิ่งนั้นถูกเรียกว่าน้ำมนต์ทิพย์ เป็นสิ่งที่อาจารย์ฝน ใช้ในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งการปลุกเสกน้ำมนต์นั้นจะใช้มือซ้ายจุ่มลงในน้ำ และพูดภาษาบาลีสันสกฤต หรือที่อาจารย์ฝนอ้างว่าเป็นภาษาเทพ

หมอปลาจึงได้สอบถามถึงการตายของนายมนวีร์ ซึ่งอาจารย์ฝน ปฏิเสธเกี่ยวกับการตายของนายมนวีร์ และยืนยันว่าข่าวที่ระบุว่านายมนวีร์ คลั่งลัทธิเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะพ่อของนายมนวีร์ ไม่เคยให้ข่าวเช่นนั้น

จากนั้นหมอปลา ได้หันไปพูดคุยกับนางแรม ซึ่งเป็นผู้ป่วย และถามว่าฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือไม่ ซึ่งนางแรม ยืนยันว่าแม้สำนักจะมีกฎว่าห้ามกินยา แต่ถ้าเรื่องวัคซีนก็จะขออนุญาติจากสำนัก ขณะเดียวกัน อาจารย์ฝน ก็ยืนยันว่าบางเรื่องก็มีข้อยกเว้น

ต่อมาอาจารย์ฝน บอกว่า ตนสามารถรักษาโรคหัวล้านและทำให้ผมงอกขึ้นมาได้ ซึ่งเมื่อหมอปลาได้ยินดังนั้น ก็พูดด้วยความขำขันว่า ตนก็หัวล้านและสามารถรักษาได้หรือไม่

สุดท้าย อาจารย์ฝน ได้เชิญปู่โตพรหมรังสีมาพูดคุยกับหมอปลา ซึ่งอาจารย์ฝน ใช้เสียงขึงขังระบุว่า ในเรื่องโควิด-19 ไม่อยากพูดหรือยืนยันว่ารักษาได้ เพราะกลัวเรื่องจะไปกันใหญ่ แต่ปู่ยืนยันว่าการตายของนายมนวีร์ ไม่เกี่ยวกับสำนักแน่นอน เพราะปู่รักษาคนด้วยน้ำมนต์ กินน้ำมนต์แล้วหายจากโรค ซึ่งเป็นเหมือนปาฏิหาริย์ และใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ที่ใจของเขา และปู่ยืนยันว่าไม่ได้หลอกลวงแต่อย่างใด 

สำหรับเงินที่คนมาถวายปัจจัยนั้น ตนก็ไม่ได้ใช้เงินทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่รักษาและมีการจ่ายค่ารักษา 300 บาท ปู่ก็จะเอาซองเงินไปวางไว้บนพาน และเมื่อผ่านไป 1 คืนเงินก็จะหายไป หากเงินของคนป่วยคนไหนหาย หมายถึงว่าคนป่วนคนนั้นมีอาการหนัก และพุทธคุณได้รับเอาค่าแลกเปลี่ยนนั้นไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม หมอปลาก็ถามระหว่างวัคซีนกับปู่ ใครเก่งกว่ากัน ซึ่งปู่ก็บอกว่าไม่สามารถตอบได้ เพราะคนที่ศรัทธาเท่านั้นถึงจะตอบได้ สุดท้ายปู่ได้โชว์พูดภาษาเทพให้หมอปลาฟัง

หมอปลา เปิดเผยว่า จากการที่ได้พูดคุยกับอาจารย์ฝน ซึ่งตนพยายามขอให้เขารักษาคนป่วย แต่ก็ถูกปฏิเสธที่จะรักษา โดยเขาอ้างว่ามีกฎมากมาย และคนที่รับการรักษาต้องมีความศรัทธา ซึ่งตนก็อยากฝากให้กระทรวงสาธารณสุขเข้ามาช่วยตรวจสอบ เพราะถ้าอาจารย์ฝนรักษาโรคโควิด-19 ได้จริง ประเทศไทยคงประหยัดค่าวัคซีนได้เป็นหมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ตนก็อยากให้คนดูใช้วิจารณญาณ ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คนป่วยไม่กินยาแล้วกินแค่น้ำมนต์ และหายจากอาการป่วย ตนมองว่าการเชื่อแบบนี้จะทำให้คนป่วยหมดโอกาสที่จะไปรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน และหากเขารักษาได้จริง โรงพยาบาลเอกชนก็คงจะเจ๊ง

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ตนได้นำคนไข้ที่ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นมาให้เขารักษา แต่เขาก็ไม่ยอมรักษา สุดท้ายตนก็อยากให้คนดูมีสติ และดูว่าเขารักษานั้นต้องการอะไร ถ้ารักษาที่โรงพยาบาลก็สามารถใช้สิทธิ์ 30 บาทได้ แต่มารักษาร่างทรงกลับต้องเสียเงิน 300 บาท/วัน

รศ.นพ.วีรศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มศว กล่าวว่า การฆ่าตัวตายของผู้ป่วยจิตเวช เกิดเหตุได้จากหลายปัจจัย แต่อาจจะเกิดเหตุได้จากผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้ามาก ๆ จนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า รู้สึกซึมเศร้าจนไม่สามารถอยู่กับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานได้อีกต่อไป และยังมีผู้ป่วยอาการทางจิตที่มีอาการหูแว่วจนเกิดอาการซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย บางคนก็มีอาการสับสนและเห็นภาพหลอน ก็สามารถฆ่าตัวตายได้ ซึ่งหากใครมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์ ทานยาอย่างสม่ำเสมอก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

สำหรับอาจารย์ฝนที่พาผู้ป่วยจิตเวชไปรักษา โดยสั่งห้ามไม่ให้กินยาและไม่ให้ไปหาหมอ ตนถือว่าผิดหลักการรักษาเป็นอย่างมาก เพราะตามหลักการแล้วผู้ป่วยจิตเวชต้องกินยา และพบแพทย์เป็นประจำ จึงจะสามารถหายป่วยได้ ส่วนร่างทรงที่อ้างว่ารักษาสารพัดโรคและรักษาโควิด-19 ได้จากการสัมผัสร่างกาย เรื่องนี้ยังไม่มีวิจัยที่ยืนยัน จึงอยากขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ หากป่วยเป็นอะไรจะได้รักษาได้ทันท่วงที