กรณีร.ต.ตหญิงศิราณี บัวพัน ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมือง จ.พิจิตร พร้อมหน่วยกู้ภัยและแพทย์ รพ.พิจิตร ร่วมกันตรวจสอบเหตุยิงกันจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่บ้านพักหลังหนึ่ง หมู่ที่ 10 ต.คลองตะเชนทร์ อ.เมือง จ.พิจิตร
โดยในที่เกิดเหตุพบศพ นายธีรวัฒน์ วงศ์จันทร์แดง หรือ อาร์ม อายุ 30 นอนเสียชีวิตจมกองเลือด ใกล้กันพบด.ช.ศุรัตติกาล อายุ 13 ปี บาดเจ็บสาหัส ส่วนบ้านอีกหลังที่อยู่ติดกันพบผู้เสียชีวิต 3 ราย ทราบชื่อนายธีรเดช สนเจริญ อายุ 37 ปี, นายแดง มากมูล อายุ 59 ปี และนางลำพึง สนเจริญ อายุ 67 ปี
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส อยู่ที่บ้านพักอีกหลังที่อยู่ติดกันอีกหลัง คือ น.ส.กาญจนา กุลมัย อายุ 38 ปี, น.ส.นิษิตรา อายุ 18 ปี และด.ช.คฑาวุฒิ อายุ 11 ขวบ โดยทั้งหมดถูกยิงด้วยอาวุธปืน 9 มม. เนื่องจากพบปลอกกระสุนตกเกลื่อนในที่เกิดเหตุแต่ละจุด ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายพุทธวรรณ มั่นปาน อายุ 55 ปี เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดพิจิตร หลังก่อเหตุได้ยืนรอมอบตัวอยู่ที่บ้าน พร้อมด้วยของกลางอาวุธปืน เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.เมืองพิจิตร
ล่าสุดวันที่ 9 ก.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่ สภ.เมืองพิจิตร จ.พิจิตร ช่วงเวลาประมาณ 10.30 น. พ.ต.ท.บุญยัง บุญเอี่ยม รอง ผกก.(สอบสวน) หัวหน้างานสอบสวน สภ.เมืองพิจิตร ได้นำตัวนายพุทธวรรณ มั่นปาน อายุ 51 ปี ผู้ต้องหา เข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติม ระหว่างที่เดินมาสอบปากคำ ทีมข่าวได้พยายามสอบถามว่า อยากจะพูดอะไร หรืออยากจะขอโทษใครหรือไม่
นายพุทธวรรณ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า "อยากจะขอโทษครับ" แล้วก็ไม่พูดอะไรอีเลย
ในระหว่างการสอบปากคำ มีทนายความอยู่ด้วยตลอดเวลา และมีการชี้ภาพของกลาง ได้แก่ อาวุธปืน 9 มม. ซองกระสุน กระสุนที่เหลืออยู่ เบื้องต้นยังระบุจำนวนที่แน่นอนไม่ไห้ แต่เดิมมีกระสุน จำนวน 2 แม็ก แม็กละ 15 นัด และตอนนี้เหลือเพียง 5 นัด
กระทั่งช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. ผู้ต้องหาได้ออกมาจากห้องสอบสวน และกล่าวสั้น ๆ เช่นเดิมว่า "อยากจะขอโทษครับ" โดยที่สีหน้าอิดโรยและมีอาการซึม ๆ
พ.ต.ท.บุญยัง บุญเอี่ยม รอง ผกก.(สอบสวน) หัวหน้างานสอบสวน สภ.เมืองพิจิตร เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาสารภาพว่าก่อเหตุจริง เพราะปัญหาที่สะสมมานานจากเรื่องภายในครอบครัว โดยปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดิน แต่ก่อนที่ดินของญาติพี่น้องฝั่งภรรยามีปัญหา ผู้ต้องหาเลยยื่นมือเข้าไปช่วยประคับประคอง และซื้อที่ดินกลับคืนมา ซึ่งที่ดินดังกล่าวตอนแรกตั้งใจจะยกให้ลูกเลี้ยง แต่ยังไม่ได้ยกให้
ในวันที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหาเพิ่งจะกลับมาจากการทำงาน และต้องการจะพักผ่อน แต่ลูกเลี้ยงเปิดเพลงเสียงดัง ผู้ต้องหาเลยพยายามปรามแล้ว แต่ลูกเลี้ยงไม่ยอมฟัง เลยให้ภรรยาไปปราม แต่ก็ไม่ยอมฟังเหมือนกัน จากนั้นลูกเลี้ยงได้พูดจาท้าทาย ทำให้บันดาลโทสะ เลยเข้าไปหยิบปืนจากในห้องนอนของตัวเอง และก่อเหตุยิงลูกเลี้ยง ก่อนจะมาก่อเหตุยิงคนอื่นต่อ เพราะกลุ่มคนที่เสียชีวิตเคยพูดยุแยงให้ท้ายทางลูกเลี้ยง
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาทั้งหมด 4 ข้อหา ได้แก่ พยายามฆ่า ฆ่าผู้อื่นให้ถึงแก่ความตาย พกพาอาวุธปืน และใช้ปืนในที่สาธารณะ ซึ่งโทษค่อนข้างสูง และอาจจะถึงขั้นประหารชีวิต เบื้องต้นไม่มีการประกันตัว เพราะยอมรับผิด
ในระหว่างที่ทีมข่าวลงพื้นที่ สภ.เมืองพิจิตร มีญาติพี่น้องและหัวหน้างาน ได้ทยอยเข้ามาเยี่ยมผู้ต้องหา แต่บางส่วนยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์
น.ส.หมี (สงวนชื่อ-สกุลจริง) เพื่อนร่วมงาน ซึ่งเดินทางเข้ามาเยี่ยมผู้ก่อเหตุ หลังจากที่เยี่ยมเสร็จได้เดินออกมาทั้งน้ำตา เปิดเผยว่า ตนเป็นเพื่อนร่วมงานกับผู้ก่อเหตุ ต้องประสานงานกันตลอด เพราะนายพุทธวรรณ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการประกอบอาหารให้นักโทษ เลยต้องประสานงานกันเกี่ยวกับใบเสร็จรับเงินตลอด
ทั้งนี้ ทุกคนก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ วันนี้ตนเข้าไปพูดคุยกับนายพุทธวรรณ แต่ไม่ได้สอบถามอะไรมาก ซึ่งนายพุทธวรรณ อ้างว่าทำไปเพราะทนไม่ไหวแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาก่อเหตุเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมาระบายเรื่องในครอบครัวให้ตนฟัง และเมื่อนานมาแล้ว ก็เคยพูดทำนองว่า จะทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็พูดทีเล่นทีจริงแบบสนุกสนาน เพราะนายพุทธวรรณ เป็นคนอัธยาศัยดี ร่าเริง และเป็นคนที่ใจเย็นมาก ๆ ไม่เคยมีพฤติกรรมรุนแรง
นายเยอฬาร คนขยัน เพื่อนร่วมงาน เปิดเผยว่า เมื่อปี 2550 ผู้ก่อเหตุย้ายมาจากเรือนจำที่พิษณุโลก ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลการประกอบอาหาร ในวันนี้ตนได้เข้ามาเยี่ยม และพูดคุยกับผู้ก่อเหตุ และหลีกเลี่ยงที่จะถามถึงเหตุการณ์ แต่พูดให้กำลังใจแทน ทั้งนี้ผู้ก่อเหตุไม่เคยมีพฤติกรรมรุนแรงมาก่อน เพราะเป็นคนนิสัยร่าเริงสนุกสนาน ไม่เคยพกปืน ซึ่งปืนที่ก่อเหตุเขาซื้อจากโครงการสวัสดิการนำไปไว้ใช้สำหรับป้องกันตัว
ทั้งนี้ เท่าที่ตนทราบจากผู้ก่อเหตุ ปัญหามาจากคนรอบข้าง เพราะก่อนหน้านี้ผู้ก่อเหตุมักจะระบายให้ฟังในเชิงสนุกสนานว่า มีปัญหาระหองระแหงกับนายธีรวัฒน์ ลูกเลี้ยง ส่วนพ่อตาแม่ยายชอบเข้าข้างนายธีรวัฒน์ ส่วนนายธีรเดช น้องชายของเมีย ก็จะชอบพูดแขวะผู้ก่อเหตุ ทำให้รู้สึกไม่ดี เพราะผู้ก่อเหตุดูแลช่วยเหลือในบ้านทุกอย่าง ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ และเรื่องเงินทอง อีกทั้งนายธีรวัฒน์และนายธีรเดช ก็ไม่ค่อยทำงาน บางครั้งได้เงินมาก็ดื่มเหล้า และเปิดเพลงเสียงดัง อย่างไรก็ตาม ตนฟังความจากฝั่งผู้ก่อเหตุเพียงฝ่ายเดียว แต่ข้อเท็จจริงก็จะต้องไปสอบถามผู้บาดเจ็บอีกครั้งว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร
ทีมข่าวเดินทางมาที่ วัดคลองคะเชนทร์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดอภิธรรมศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 4 คน ได้แก่ นางลำพึง สนเจริญ อายุ 67 ปี แม่ยายของผู้ก่อเหตุ, นายแดง มากมูล อายุ 60 ปี พ่อตาของผู้ก่อเหตุ, นายธีรเดช สนเจริญ หรือ เอ อายุ 59 ปี และนายธีรวัฒน์ วงศ์จำแดง หรือ อาร์ม อายุ 31 ปี โดยร่างของผู้เสียชีวิตตั้งอยู่ในศาลาเดียวกัน และตั้งเรียงตามลำดับอายุ
ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างของผู้เสียชีวิตมาที่วัด ญาติพี่น้องต่างกันร้องไห้ โดยเฉพาะนางยุพิน ด่านซ้าย อายุ 60 ปี น้องสาวของนางลำพึง ที่เกือบจะเป็นลม และด.ญ.ศุภรัตติกาล ลูกสาวของนายธีรเดช ที่ร้องไห้คิดถึงพ่อที่เสียชีวิต รวมถึงภรรยาของผู้ก่อเหตุ ทุกคนพากันโอบกอดกัน
นางลำพู มั่นปาน ภรรยาของผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า สามีไม่เคยมีปัญหาเรื่องที่ดินกับครอบครัวของตน เพราะเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่ดินของบ้านที่ตนอาศัยอยู่ เคยเป็นที่ดินของพี่ชายตนมาก่อน และจะถูกธนาคารยึด สามีของตนเลยไปซื้อที่ดินกลับคืนมา
แต่ทว่าสามีจะมีปัญหากับนายธีรวัฒน์ เพราะลูกชายคนนี้เพิ่งจะย้ายกลับเข้ามาอยู่ที่บ้านได้ 1-2 ปี ระหว่างที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน นายธีรวัฒน์ ค่อนข้างอารมณ์ร้อน และเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง มักจะด่าท้าทายผู้ก่อเหตุทำนองว่า “แกไม่ใช่พ่อฉัน เป็นแค่พ่อเลี้ยง แกจะมาอะไรกับฉัน ฉันไม่กลัวแก” อีกทั้งนายธีรวัฒน์ยังเป็นผู้ป่วย ซึ่งต้องรับยาทางจิตเวช มีอาการซึมเศร้า
ในวันที่เกิดเหตุ นายธีรวัฒน์ ได้เปิดเพลงเสียงดังเพื่อยั่วยุสามีของตน เมื่อเห็นเช่นนั้นตนจึงเข้าไปห้าม แต่ไม่มีใครยอมฟัง ทำให้สามีของตนเกิดบันดาลโทสะ นอกจากนี้ สามีของตนยังมีปัญหากับนายธีรเดช แต่ตนไม่อยากจะพูดถึง ส่วนเรื่องที่สามีของตนห้ามพาลูกหลานของนายธีรเดช เข้ามาที่บ้าน ตนไม่ทราบ ตนกับผู้ก่อเหตุคบหากันมาประมาณ 15 ปี ไม่เคยทะเลาะกัน และผู้ก่อเหตุเป็นคนที่ใจเย็นมาก ๆ หลังจากเกิดเรื่องวันนี้ตนได้เข้าไปคุยกับสามี เขาก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง บอกเพียงว่าให้ตนดูแลตัวเองดี ๆ พร้อมกับกล่าวขอโทษ
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางยุพิน ด่านซ้าย อายุ 60 ปี น้องสาวของนางลำพึง เปิดเผยว่า ตอนนี้คนเจ็บยังคงรักษาตัวที่อยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งคนที่อาการหนักสุด คือ ด.ช.ศฑาวุฒิ เพราะตัวบวมหมดแล้ว ถ้าถอดเครื่องใช้หายใจก็ไม่น่าจะรอดชีวิต
ส่วนผู้เสียชีวิตจะจัดพิธีที่ศาลาเดียวกัน และทยอยเผาทีละศพ โดยเริ่มเผาตั้งแต่วันอาทิตย์ ทั้งนี้ตนไม่ค่อยทราบว่ามีปัญหาอะไรกัน แต่พอทราบว่าผู้ก่อเหตุกับทางครอบครัวของภรรยา มีปัญหาไม่พอใจกัน และเคยมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ซึ่งนางลำพึง ก็เคยมาเล่าให้ฟัง ทำนองว่าไม่ค่อยถูกกับลูกเขย ส่วนเรื่องที่ดินไม่เคยมีปัญหากัน เพราะที่ดินพี่ชายของภรรยาผู้ก่อเหตุ มีการแบ่งขายกัน
"เวลาคุยกับเขา ก็เป็นคนที่พูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนในครอบครัวยังทำใจไม่ได้ และยังคงเหม่อลอย เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง แม้แต่เด็กและคนนอนติดเตียง เขาก็ยิงทิ้งหมด และยิงที่หัวทุกคน หากเขาจะมาขอขมาศพ ทางครอบครัวก็ยังไม่พร้อมจริง ๆ เพราะทำกันขนาดนี้ก็ไม่ควรจะมา เขาคงตั้งใจยิง ถ้าไม่ได้ตั้งใจคงจะไม่ยิงที่หัวแบบนี้" นางยุพิน กล่าวทิ้งท้าย
